15 October 2006

04...ประตู

"ฝนตกอีกแล้ว!" กระต่ายชะโงกหน้าจากระเบียง

"ดูสิเค็น! น้ำยังไม่ทันลดเลย เดี๋ยวก็ท่วมอีก...แล้วจะเดินเข้ามายังไง เปียกแย่เลย"

เค็นกำลังล้างจานอยู่หลังห้อง ชะโงกดูกระต่ายบ้าง
"แล้วไงจ๊ะ ห่วงอะไรนักหนา คนเค้ามีหัวมีเท้า"

"เอ๊ะ! เค็นนี่! พูดดีๆ นะ หมายความว่าไง"
"ก็..." เค็นยิ้มหวาน "มีหัวคิด มีเท้าเดิน ไม่ใช้หัวเดินหรือเอาเท้าคิดหรอกกระมัง"
"เกลียดเค็น!"

กระต่ายร้องแล้วผลุนผลันวิ่งเข้าห้อง หยิบของอย่างหนึ่ง เร็วเหมือนลมพัด ครู่เดียวร่างเล็กๆ ก็ลงไปถึงชั้นล่าง
"อ้าว! แล้วนั่นจะไปไหน...กระต่าย!!"

ไม่มีคำตอบ เห็นแต่หางเปียกวัดแกว่งกับขายาวๆ วิ่งบนสะพานไม้คล่องแคล่ว
แต่ก็นะ...

โครม!

สุดคะเนยังยืนที่เดิม ปล่อยสายฝนสาดซัดเนื้อตัวเหมือนคนไร้สติ มีแต่คำพูดที่ดังซ้ำๆ ในห้วงคิด
"พี่กำลังจะมีน้องอีกคน..."

ยกมือลูบหน้า สัมผัสละอองเย็นอาบโลม
เคยคิดว่าฝนที่ตกในห้วงหุบเขา* จะเป็นครั้งสุดท้าย เปล่าเลย...
ทุกอย่างยังเวียนวน เป็นเขาวงกต ณ อาณาจักรใจ

"พี่คะเน..."
ร่มลายดอกไม้คันหนึ่งโผล่สูงในอากาศ มือเล็กๆ กระยื้อกระแหย่ง

สุดคะเนลืมความเศร้าไปชั่วครู่
กระต่ายยิ้มดีใจเมื่อพี่คะเนเหลียวมอง

โครม!

สุดคะเนปั้นหน้าไม่ถูก
กระต่ายยิ้มแหยๆ รีบทรงตัวลุก ร่มสีชมพูหักพับ น้ำฝนหรือน้ำจากทางเท้ากันแน่
เปียกเปื้อนหัวหู ปลายเปียรุ่ยร่าย

"กระต่าย!!"
สุดคะเนแผดเสียง เป็นครั้งแรกที่เสียงดังขนาดนี้ พรวดเดียวถึงตัวเด็กผมเปีย
"ไม่ระวังเลย! จะรีบไปไหน!"

กระต่ายยังยิ้มเหมือนเดิม
สุดคะเนเหลือบเห็นรอยถลอกหลังแขน เลือดสีเดียวกับดอกไม้บนร่ม
แต่เจ้าตัวกลับทำไม่รู้ไม่ชี้คว้าหมับเหนือแผล

"โอ้ย! เจ็บนะพี่คะเน!"
"อ้าว! เจ็บด้วยเหรอ เห็นวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ กระต่าย (ฉอดๆๆ) แล้วนี่จะไปไหน
ฝนหนักขนาดนี้ ออกบ้านมาทำไม!"

"มารับพี่คะเนไงคะ" ตาใสแจ๋วเป็นประกายเงยสบอย่างกล้าหาญ
สุดคะเนชะงักชั่วอึดใจ ละมือทันที

"ดูซิ ร่มพังหมดแล้ว" กระต่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
เด็กคนนี้คิดอะไรก็แสดงออกหมด สุดคะเนคิดในใจ

"ทำไงดีล่ะ...พี่คะเนเปียกหมดแล้ว"
"ยังจะห่วงคนอื่นอีก!" สุดคะเนแทบตะโกน

"ก็...ก็กระต่ายกลัวพี่คะเนลืมให้รางวัล"
"รางวัล??"

"เมาะลำเลิงมีอีกชื่อคือมะละแหม่ง"
สุดคะเนกลืนน้ำลาย "เหตุผลแค่นี้? ที่ฝ่าฝนออกมา"

ไม่มีเสียงตอบ สุดคะเนส่ายหน้าระอาใจ คว้าร่มม้วนเก็บ
"ไม่ต้องกงต้องกางมันแล้ว เปียกขนาดนี้!"

"งั้นกลับบ้านเรานะคะ" มือเล็กๆ เกาะแขนอย่างยินดี
"บ้านเรา" สุดคะเนสะดุดหูนิดหน่อย
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้รีบลากแขนเด็กตัวปัญหาเข้าซอย

"พี่คะเน..." กระต่ายทรงตัวไม่ดีนักบนสะพานไม้แต่ดูก็รู้ว่าพยายามเต็มความสามารถ
"อะไร? ไม่ต้องรีบมากก็ได้ เดี๋ยวตกอีก" สุดคะเนทอดขาช้าลง กระต่ายแอบยิ้ม

"พรุ่งนี้กระต่ายมีซ้อมกับเพื่อนๆ พี่คะเนไปหน่อยมั้ยคะ"
"ทำไมต้องไป" สุดคะเนไร้เยื่อใย
"พี่ไม่ใช่วัยรุ่น ฟังเพลงแนวกระต่ายไม่รู้เรื่องหรอก"

กระต่ายย่นจมูก
"20 เนี้ยนะ พูดยังกะสัก 37...พี่คะเนไม่อยากฟังกระต่ายร้องเพลงเลยเหรอ"
"ฟังกระต่าย... ฮะๆ" สุดคะเนหัวเราะ "อยู่ที่บ้านก็ได้ยินเบื่อจะแย่อยู่แล้ว"

โครม!

เด็กสาวร้องลั่น ตัวจมน้ำครึ่งท่อน
สุดคะเนหัวเราะท้องแข็ง กระโดดลงไปคว้าแขนมอมแมม
"รอบสามแล้วซีกระต่าย!"

"โอ้ย! เจ็บ!!" กระต่ายร้องดัง หน้าเหยเก น้ำตาคลอปริ่ม
"พี่คะเนใส่ยาอะไร!"

"ทิงเจอร์ไง" สุดคะเนชูขวด
"แผลไม่ใช่น้อยๆ นะ ไหนจะเจอน้ำครำสกปรกอีก กันไว้ก่อน
อยากเป็นบาดทะยักตายหรือไง"

"โดนขอบไม้ ขอบถนน ไม่ใช่ตะปูเสียหน่อย"
"ไม่รู้ล่ะ กันไว้ก่อน แล้วนี่เค็นหายไปไหน ไม่เห็นอยู่ห้อง"

ทั้งสองอยู่ในห้องของสุดคะเน กระต่ายแอบดีใจที่เห็นกุญแจคล้องห้องเจ็ด
"กระต่ายเปิดได้นี่" สุดคะเนนึกได้

"กลับไปห้องตัวเองมั้ย"
"ไม่มีกุญแจ ลืมไว้ในกระเป๋า..."

สุดคะเนมองเด็กสาวอย่างชั่งใจ ลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้า
"เอาเถอะ งั้นอาบน้ำก่อนดีกว่า รอเค็นกลับมา เดี๋ยวปอดบวมตายเสียก่อน"

มือที่รื้อเสื้อผ้าชะงัก มีเสื้อตัวหนึ่งแขวนข้างผนังตู้ ตัวที่แขกของเมื่อคืนใส่นอน
ยังเหมือนมีกลิ่นจางๆ...

"พี่คะเน เมื่อวานไม่ได้ทานข้าวหรือคะ"
กระต่ายโผล่มาจากครัว จับขอบถุงพลาสติกหมิ่นๆ กลิ่นไก่ย่างเหม็นตุ
"แล้ววันนี้ทานอะไรหรือยัง..."

สุดคะเนเลือกได้กางเกงขาสั้นกับเสื้อเนื้อนิ่ม

"ทิ้งไปเถอะกระต่าย รื้อมาทำไม"
"ได้กลิ่นนี่"

"รีบอาบน้ำ...มีสบู่เหลวนะ ใช้ได้"
"พี่คะเนไม่ทานข้าว เดี๋ยวจะไม่สบายนะคะ...เอางี้ กระต่ายมีแกงพุทรา เค็นทำอร่อยมากๆ จะตักมาให้นะ"

ห้ามไม่ทัน ร่างเล็กวิ่งตึงตังไปห้องข้างๆ ล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงไขคล่องแคล่ว

"กระต่าย! ไหนว่าเปิดไม่ได้!"
สุดคะเนโผล่หน้าร้องตาม หัวเสียที่โดนเด็กหลอก
กระแทกประตูปัง! กดล็อค แต่แล้วก็หยุด...ถอนใจ หมุนลูกบิดคลายออก

ในห้องหมายเลขเจ็ดกระต่ายรีบล้างมือ เช็ดจนแห้งสะอาด กดสวิชท์ไฟอุ่นแกง
ขอบคุณเค็นที่ทำไว้เสียเยอะแยะ พี่สุดคะเนอาจไม่เคยกินหรอกกระมัง อาหารท้องถิ่นอย่างนี้เสียดายที่ทอดมันหน่อกะลาหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นจะได้ชิมด้วย

เด็กสาวสาระวนกับการอุ่นอาหารเลือกจานจัดสำรับ ทั้งที่ตัวยังเลอะเทอะ แก้วน้ำสวยๆ อยู่ไหนแล้วล่ะ จะได้แบ่งน้ำหวานไปกินด้วย

ไม่ทันได้สังเกต ร่างบอบบางเปียกชุ่มโชก กลับขึ้นบันไดมาอย่างอ่อนล้า ตรงไปหาห้องริมสุด

"เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก...อ้า...เดี๋ยวเปิดให้ค่ะ ลืมไปว่าถือของ..."
เสียงของสุดคะเนแจ่มใสขึ้นมาก

ประตูเปิดออก...



*อ่านตอน "ลาแล้วภูพิงค์" มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1333, 3 มีนาคม 2549


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1365 วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2549