20 December 2006

09 ลืม

กระต่ายมีความสุขมากจริงๆ
เด็กน้อยร่าเริง เดินไกวแขนพลางพูดเสียงแจ๋วๆ ไม่หยุด
สุดคะเนอดขำไม่ได้ เอ็นดูแกมอ่อนใจ ได้แต่ยิ้ม เดินตามเงียบๆ

ผ่านตลาดสด (กระต่ายพาลงเร็วตั้งป้ายนึง)เด็กผมเปียรีบบอก
“รอแป้บนะคะ กระต่ายซื้อของก่อน”

“อะไรหรือคะ”

“น่า แป้บเดียว”
เด็กกระต่ายวิ่งเข้าไปใต้หลังคามัวๆ ที่จริงถ้าเข้าข้างในก็จะสว่างไสวด้วยแสงนีออน
ไม่ถึงห้านาทีก็กลับออกมาพร้อมถุงผัก

“กระต่ายชอบแผงเจ๊เฮี้ยงจัง ซื้ออะไรก็แถม ดูสิ บอกว่าเอานิดเดียวๆยังให้มาตั้งเยอะ”
หนูน้อยอวดผักเขียวๆ หลายชนิดในถุง

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะฮึ”

“...เดี๋ยวจะทำอะไรให้ชิม”

“ไข่เจียวเหรอ” สุดคะเนยิ้ม
“ซื้อแกงถุงก็ได้นะ ข้ามไปฝั่งโน้น หรือจะเลยไปในซอยพระครูก็ได้ อยากกินอะไรล่ะ”

“ไม่เอา” กระต่ายส่ายหน้า “วันนี้จะโชว์ฝีมือ”

ถึงห้องพัก
กระต่ายรีบไขเข้าห้องตัวเอง
พลางบอกว่าเดี๋ยวจะยก “เตา” ไปปรุงที่ห้องโน้น
ห้ามก็ไม่ฟัง สุดคะเนเบื่อจนขำ

“เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ออกมาไม่ดีพี่พูดตามตรงนะ”

“เจ้าค่ะ”
แล้วผลุบหายไปอย่างรวดเร็ว

สุดคะเนเปิดเข้าห้องตัวเอง
ก่อนขึ้นชั้นบนมีจดหมายมาถึง 2 ฉบับ
จากพี่ดาวและ The Moon

อย่างลังเล...สุดคะเนหยิบจดหมายพี่ดาวขึ้น

แต่แล้วก็วางลง

...เปิดจดหมายของพระจันทร์


[วันที่ดวงตะวันยังยิ้มอุ่น / สุดคะเนจ๊ะ

ความฝันของเธอน่ารักนะ
ชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ นั่นแหละที่ฉันเชื่อว่าเหมาะสมกับมนุษย์
ความทะเยอทะยานแท้จริงแล้วก็ไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าความรุ่มร้อน
และรีบเร่งไปข้างหน้า จนลืมรายละเอียดของชีวิตที่มักกระเซ็นอยู่ข้างทาง
ชีวิตจึงขาดความละมุนละไมไปอย่างน่าเสียดาย

คะเนทำได้แน่ ฉันเชื่อ จะเอาใจช่วยให้เก็บเงินปลูกบ้านได้เร็วๆ...
อย่าลืมชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวก็แล้วกันนะจ๊ะ

อยากฟังเรื่องบ้านริมคลอง เล่าให้ฟังบ้างสิ
คงมีเรื่องเก่าๆ ที่สวยงามฝังใจอยู่มากมายใช่ไหม
เพราะคิดว่าคะเนเป็นคนรักบ้านนะสิ

หน้าบ้านหลังเก่าของฉันก็มีสระใหญ่ ดอกบัวสะพรั่ง
ยังจำได้ว่ามีกุ้งฝอยดีดตัวขึ้นมาค้างบนใบบัว
งงอยู่พักเดียวก็ดีดตัวกลับลงน้ำใหม่

ฝูงปลาเข็มชอบว่ายมาเที่ยวริมตลิ่ง
ลุงบ้านข้างๆ ชอบมาวางเบ็ดราว ได้ปลาช่อน ปลาหมอ ไปแกงเป็นประจำ

ตอนเล็กๆ ฉันจะคาดข้าวใส่ชามถือร่อนไปร่อนมาอยู่แถวสระน้ำ
เป็นชั่วโมงกว่าจะกินหมด จนแม่ต้องตะโกนดุมาจากบ้าน
เดี๋ยวนี้กลับไปดู สระน้ำถูกถมหมดแล้ว เขาใช้ที่สร้างเป็นสถานที่ราชการ
ต้นก้ามปูใหญ่กับต้นสักที่ยืนให้ร่มครึ้มก็พลอยหายไปด้วย
เห็นครั้งแรกฉันยืนงง นึกว่าไปดูผิดที่

เดินเลยบ้านเก่าไปถึงริมแม่น้ำที่เคยขี่จักรยานมาดูตะวันตกดิน
ก็มีแพร้านอาหารจอดอยู่ มีเก้าอี้นั่งใต้ร่มดอกเห็ด ฝาขวดเหล้าเบียร์เกลื่อนพื้น
ฝั่งตรงข้ามที่เคยเป็นสวนผักของชาวบ้านดูเขียวสดไปทั้งแถบ
ก็มีโรงงานน้ำอัดลมมาตั้งแทน

สะพานข้ามแม่น้ำยังอยู่ แต่ก็เก่าแสนเก่า

เหมือนผู้เฒ่าที่ยืนมองความเป็นไปของลูกหลาน แล้วถอนใจ เหนื่อยหน่ายชีวิต

เคยรู้สึกโกรธ แต่ไม่รู้จะโกรธใครหรืออะไร หรือเปล่า...

ฉันรู้สึกเหมือนสมบัติของตัวเองถูกทำลาย แต่ไม่รู้จะไปเรียกร้องเอากับใครที่ไหน
ได้แต่หันหลังด้วยความเศร้าใจอย่างมากมาย ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง...]


“มาแล้วจ้า”
เด็กกระต่ายหอบของเต็มสองแขนโผล่มา

สุดคะเนรีบลุก เก็บจดหมายที่ยังอ่านไม่จบ วางบนโต๊ะเขียนหนังสือ

“เอาอะไรมาเยอะแยะ”

“ไม่เห็นเยอะเลย ก็มีกระทะไฟฟ้า เครื่องปรุง น้ำพริกแกงตำมาเรียบร้อยค่ะ”
กระต่ายคล่องแคล่ว สุดคะเนเข้าช่วยรับของ
ไม่นานนัก ทั้งสองก็นั่งจ้องหม้อแกงที่เดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมแปลกจมูก

“แกงอะไรคะ แปลกดี ไม่เคยกินมาก่อน”

“ฟะคะเนกู่” กระต่ายตอบ

“มีคำว่าคะเนด้วยนะเนี่ย…เป็นแกงมอญค่ะ
จริงๆ แล้วเค้าใส่ปลาย่างนะ แต่เค็นเคยประยุกต์ใช้ปลากระป๋องแทน”
กระต่ายอธิบาย พลางคนแกงไปมา
“ทำง่ายค่ะ ใส่น้ำพริกแกง ใส่ผัก แต่ที่ขาดไม่ได้คือใบกระเจี๊ยบอ่อน”

“หอมดีนะ”
สุดคะเนมองหน้าเด็กผมเปีย คงหมั่นชะโงกมากไป ถูกไอร้อนจนแก้มแดงเชียว

“ไหนเค็นว่ากระต่ายทำอะไรไม่เป็น ทำกับข้าวได้นี่”

“ถ้าเค็นอยู่ เรื่องอะไรกระต่ายจะทำ”

“อ้าว เจ้าเล่ห์นี่เรา” สุดคะเนยื่นมือไปยีผม

กระต่ายทำหน้าตะลึงอีกแล้ว ปล่อยช้อนตกลงในน้ำแกง
เผลอจุ่มมือคว้าตาม พลาดโดนขอบกะทะร้อนๆ

“โอ้ย!”

สุดคะเนหัวเราะเสียงดัง
“โธ่เอ๊ย! เด็กซุ่มซ่าม มานี่มา”

ขยับนิดเดียวก็อ้อมถึง ดึงมือข้างที่โดนความร้อนจนเป็นสีชมพูขึ้นเป่า
กระต่ายเบิกตากว้าง ดึงแขนกลับแต่สุดคะเนรั้งไว้

“เพี้ยง! หายนะ”

กระต่ายตัวแดง เหมือนถูกฉีดน้ำหวานเข้าในกระแสเลือด
มีความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนไหลเวียนแล่นพล่าน

สุดคะเนไม่คิดอะไร เห็นหน้าแหยๆ คิดเอาว่าคงแสบร้อนไม่หาย
เป่าซ้ำอีกที ลมอุ่นๆ เลาะไล้ไปบนผิวเนื้ออ่อนนุ่ม หัวใจกระต่ายแทบหยุดเต้น

“ดูทำหน้าเข้า!” สุดคะเนหัวเราะ
“ขวัญเอย ขวัญมา นี่แหละพระเจ้าไม่เข้าข้างคนเจ้าเล่ห์”

อาหารมื้อนั้นรสชาติดีทีเดียว
นอกจาก ‘ฟะคะเนกู่’ แล้วก็มีไข่เจียวอีกอย่าง
สุดคะเนเอ่ยชมไปหลายครั้ง กระต่ายแก้มแดงปลั่ง แต่เงียบกว่าเคย
จนเมื่ออิ่มแล้ว สุดคะเนรวบช้อมส้อม จิบน้ำ เหลือบตาดูเด็กข้างหน้าอย่างแปลกใจ

“ยังเจ็บอยู่เหรอ” ทำท่าจะลุกขึ้น “เอ ดูเหมือนพี่จะมียานะ”

“มะ...ไม่ต้องค่ะ”
กระต่ายรีบห้าม ใจเต้นตึกตัก จะบอกได้ยังไงว่ามีอะไรแปลกๆ
...เกิดในความรู้สึก...รุนแรงกว่าเคยเป็น

“งั้นดูอีกทีสิคะ”
สุดคะเนยื่นมือข้ามจานข้าว

“ทำไมตัวร้อนจัง กระต่าย”
คราวนี้ไม่แค่เป่าเบาๆ แต่จุ๊บบนปลายนิ้ว
และ...กระต่ายรู้สึกไปเองหรือเปล่า ริมฝีปากพี่คะเน...

“โอย...”

“เป็นอะไรคะ”

กระต่ายดึงมือกลับแทบหงายหลัง
หน้าร้อน ตัวร้อน เหมือนมีไฟวูบวาบเผาจากปลายนิ้วไปถึงไหนๆ
สุดคะเนเสียหลักตามไปด้วย แทบล้มทับโต๊ะอาหาร
กระต่ายหัวใจจะระเบิด สบตาดำเข้มที่ไม่เข้าใจอะไรสักนิด
ขณะนั้นเอง เค็นก็โผล่มาข้างหน้าต่าง

“จ๊ะเอ๋!”

กระต่ายเด้งตัวออกทันควัน

“ไอ้เค็นบ้า!”

“อ้าว!” เค็นร้อง งง “อะไรกันกระต่าย เจอหน้าก็ด่าเลยเหรอ...แล้วนั่นทำอะไรกันอะ”

“เรื่องของเค้า อย่ายุ่ง!”


เค็นเกาหัวแกรกๆ เมื่อสุดคะเนเปิดประตูห้องให้

“เป็นอะไรของเค้า”
บุ้ยบ้ายไปทางเด็กที่วิ่งเข้าห้องตัวเองไปแล้ว

“ทำกับข้าวแล้วมือพลาดไปโดนกะทะน่ะ” สุดคะเนบอก
“ดูท่าจะเจ็บมาก พี่เลยเป่าคาถาให้”

เค็นมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกๆ เห็นชายเสื้อของสุดคะเนเปื้อนน้ำแกงด้วย

“เค็นกินอะไรมาหรือยัง วันนี้กระต่ายทำกับข้าวนะ แกงยังมีเต็มหม้อเลย”

เค็นสูดจมูกฟุดฟิด “แกงอะไร...กลิ่นคุ้นๆ”

“ชื่อแกงอะไรน้า...มีคำว่าคะเนด้วย”

“ฟะคะเนกู่!” เค็นเบิกตากว้างกว่าเดิม “กระต่ายนะเหรอทำแกงนี้!”

“ทำไมล่ะ” สุดคะเนแปลกใจบ้าง

“เป็นอาหารมอญฮะ แต่กระต่ายไม่เคยยอมรับสักทีว่าตัวเองมีเชื้อมอญ
ปกติทำให้กินยังไม่ค่อยจะยอมกิน นี่ลงมือทำเอง...”
เค็นมองหน้าสุดคะเนอย่างครุ่นคิด

“สงสัยจะกระต่ายจะชอบคะเนมากๆ แล้วล่ะ ระวังตัวหน่อยก็ดีนะ”

“หือ?”

“ถึงกับลงมือทำอาหารที่ตัวเองเกลียด
แสดงว่าอยากสร้างความประทับใจมากๆ คะเน...”
เค็นมีสีหน้าจริงจัง

“ถ้าไม่คิดอะไรกับกระต่าย ก็อย่าทำให้มันหวังไปเรื่อยเปื่อยเลยนะ”

เค็นกลับห้องไปอีกคนแล้ว แต่สุดคะเนยังยืนที่เดิม
‘ถ้าไม่คิดอะไรกับกระต่าย ก็อย่าทำให้มันหวังไปเรื่อยเปื่อย....’
จะบ้าหรือ! เด็กคนนั้นอายุแค่ 17 เท่านั้น!


สุดคะเนลืมไปแล้วว่า เมื่ออายุเท่ากระต่าย เธอเคยมีประสบการณ์ชีวิตอย่างไร



ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1374 วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2549

12 December 2006

08 ในอุ้งมือ

สุดคะเนลงรถหน้าวิทยาลัย
รั้วสีแดงเหยียดยาวขนาบถนน
บนฟุตปาธมีร้านขายของเป็นรถเข็นคันเล็กคันน้อย
ลูกชิ้นปิ้งกับน้ำอัดลมดูจะขายดีเป็นพิเศษ
เด็กหนุ่มสาวในชุดนักเรียนนักศึกษาเดินสวนไปมา

เด็กสาวเสยผมตัวเองอย่างเก้กัง
ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี มีสถาบันการศึกษาสองแห่งบนถนนสายนี้
ดูเหมือนจะมีประตูเชื่อมต่อกันด้วย แต่เค็นกับกระต่ายเรียนตึกไหนกันล่ะ?

เค็นเคยบอกว่าเรียนอยู่ปี 1 เอ๊ะ? หรือปีสอง
ส่วนกระต่ายอยู่ชั้นมัธยม ม.อะไรล่ะ? เป็นโรงเรียนสาธิตใช่ไหม?

สุดคะเนเพิ่งนึกได้ว่า เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเพื่อนข้างห้อง
มากไปกว่าทักทายกันผ่านๆ
มีแต่ช่วงหลังนี้เองที่กระต่ายเข้ามาผูกสัมพันธ์มากขึ้น



อดนึกถึงจดหมายอีกฉบับของ The Moon ไม่ได้


[พฤศจิกายน / นนทบุรี / วันที่ดวงตะวันยิ้มอุ่นๆ ให้ลมหนาว

ฉันเพิ่งแบกเป้อันหนักอึ้งกลับมาจากจังหวัดปราจีนบุรี
หนีความเป็นพิษของเมืองไปได้สิบวันเต็มๆ ไปอยู่กับทุ่งนาป่าเขา
อยู่กับเด็กมอมๆ ในหมู่บ้าน

ที่โน่นพูดภาษาอีสานด้วยนะจ๊ะคะเน ทั้งๆ ที่อยู่ภาคตะวันออก
ข้าวกำลังตั้งท้องพอดี ดีใจที่ได้เห็นทุ่งสีเขียว
บางบ้านมีอาชีพเสริมคือทำหมวก ทำขนมจีน ทำปอ
ไปช่วยเขาลอกปอมาด้วย รู้สึกเหมือนกลิ่นปอยังไม่จางไปจากตัวเลยนะนี่

ไม่อยากกลับมาเลย ถ้าไม่นึกถึงหน้าที่ (หน้าที่อีกแล้ว คำนี้มีอิทธิพลนักละ)
ใช้วันลากิจไปหมดเกลี้ยงเลย นั่งรถไฟกลับมา
แค่มองเห็นปั้นจั่นและเครนบนยอดโครงตึกสูงระฟ้า ฉันก็แทบจะหันหลังกลับ

ลากสังขารอันอ่อนระโหยกลับมาถึงบ้าน ก็ได้พบจดหมายของเธอรออยู่...

เป้ถูกเหวี่ยงกลิ้งไปไหนไม่รู้แล้ว
(มันคงน้อยใจเหมือนกัน อุตส่าห์เป็นเพื่อนมาตั้งนาน)
เพราะฉันมัวแต่ตื่นเต้น จดหมายตอบจากเธอ
ทำให้ฉันรู้สึกดีใจเป็นครั้งแรกของการตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ

ตอนนี้ยังยิ้มไม่หุบเลยรู้ไหม...
ขอบคุณมาก ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าที่นี่ยังมีน้ำใจและความอบอุ่นอ่อนโยนแฝงอยู่
ไม่ได้ถูกกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชนหน้าตาเฉยเมยที่เดินสวนกันไปมาบนท้องถนน

ทำไมเขาไม่ค่อยยิ้มกันนะ ของที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อแท้ๆ...
ตอนนี้คะเนกำลังยิ้มอยู่หรือเปล่านะนี่
ลืมความเศร้าที่มีมากมายนั้นบ้างเถอะนะ
ชั่วครู่ก็ยังดี ให้รอยยิ้มได้ทำหน้าที่ของมันบ้าง



...เราต้องยิ้มบ้างสักนิด

หัวเราะบ้างสักหน่อย

ร้องไห้บ้างสักเล็กน้อย

เพื่อความแช่มช้อยของชีวิต...]



สุดคะเนเผลอยิ้มนิดๆ The Moon
เป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งจริงๆ ไม่กี่บรรทัดก็ทำให้คิดต่อไปได้มากมาย
ทั้งเรื่องสุข เรื่องเศร้า ความงาม ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต
หรือการตั้งข้อสังเกตกับผู้คนรอบตัว

จริงสินะ เมื่อเดินสวนใครๆ บนถนน
การที่จะยิ้มให้คนแปลกหน้าคงเป็นเรื่องบ้าสิ้นดี
แม้แต่คนใกล้ห้องติดกัน ยังแทบไม่รู้จักกัน



แต่นั่นเค็นนี่? สุดคะเนเหลือบตาเห็นเด็กหนุ่มผิวขาว
เดินคู่เด็กหนุ่มตัวสูงอีกคน แต่เหมือนเค็นไม่อาจเห็นใครเลย นอกจากเพื่อนคนนั้น


"พี่คะเน!"

เด็กกระต่ายโผล่มาด้วยใบหน้าร่าเริง ยิ้มกว้างแทบฉีกถึงหู ตามีประกายวิบวับ

"พี่คะเนมาทำอะไรแถวนี้...โอ้ย! ดีใจจัง!!"
เด็กผมเปียกระโดดเข้ากอดแขน เอียงแก้มแนบไหล่จนสุดคะเนหน้าแดง

"มารับกระต่ายเหรอ"

"เอ้อ...ไม่ใช่" รีบปฏิเสธเมื่อเห็นสายตาคาดหวัง
"พี่ผ่านมาแถวนี้...เอ่อ พี่ต่อรถผิดน่ะ"

กระต่ายไม่สนใจ ควงแขนอย่างสนิทสนม
ทั้งใบหน้า แววตา น้ำเสียง บอกความรื่นรมย์สุดชีวิต

"ดีใจจัง ขอบคุณความผิดพลาดในชีวิต
...แล้วพี่คะเนจะไปไหนต่อคะ ไปกินไอติมกันมั้ย"

"ตะกี้พี่เห็นเค็นนะคะ"
สุดคะเนนึกได้ เหลียวหาพี่ชายของเด็กที่พัวพันข้างตัว

"ช่างเค็นปะไร" กระต่ายย่นจมูก
"กำลังเห่อเพื่อนใหม่ เห็นว่าหล่อนักนี่ แต่กระต่ายยังไม่เห็น เห็นก็ดีสิ จะได้เอาคืนมั่ง"

"คืออะไร? เอาอะไรคืน"

"ไม่รู้" กระต่ายตัดบทดื้อๆ
"อย่าสนใจเค็นเลย เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า พี่คะเนคนดีขา ร้านข้าวอร่อยๆ ก็มีนะคะ"

"พี่วางตะกร้าไว้ให้หน้าห้อง ได้แล้วใช่ไหมคะ"

กระต่ายมีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหน่อย พูดแบบไม่เต็มใจ
"ค่ะ ขอบคุณมาก...พี่คะเน...ไปหาอะไรกินกันดีกว่า กระต่ายหิวแล้ว"

สุดคะเนถอนใจ ขณะถูกฉุดมือเดินห่างจากที่เดิม
มีหลายอย่างที่นึกจะพูด จะถาม แต่ก็ไม่รู้ควรเริ่มตรงไหนดี
อีกไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไร ทำให้ตัดสินใจลงรถ...ที่นี่



[วันนี้โรงเรียนเปิดเทอม
(อิจฉาเด็กอีกแล้ว มีปิดเทอม เปิดเทอมให้ได้ตื่นเต้น)
เสียงแม่บอกว่าต้องรีบไปทำงานแต่มืดเพราะรถต้องติดแน่ๆ
เฮ้อ...คราวนี้ถอนใจเพราะสงสารเด็กเมืองกรุง

สมัยก่อนที่อยู่ต่างจังหวัด
เราเดินไปโรงเรียนกันกลางแดดอุ่นๆ แวะดูดอกไม้
จับตั๊กแตนข้างทาง ไปถึงก็ยังเช้าอยู่มาก
มีเวลาให้เล่นหมากเก็บ กระโดดยางตั้งหลายตา กว่าระฆังจะดังให้เข้าแถว

เดี๋ยวนี้ฉันเห็นเด็กแบกกระเป๋ายืนเกาะโงนเงนบนรถประจำทาง
ที่มีฐานะหน่อยก็นั่งกินข้าวเช้าในรถยนต์ที่ค่อยๆ เคลื่อนทีละคืบ
บางคนนั่งหลับในรถโรงเรียนเพราะต้องตื่นเช้าเกินไป อากาศยามเช้ามีแต่ควันพิษ

เชื่อไหมว่าบางครั้งฉันอยากหยุดหายใจ
เมื่อคิดว่า อากาศสีเทาๆ นั่นหรือที่ผ่านเข้าออกในร่างกายของเรา...]



"ไปรถเมล์หรือจะนั่งแท็กซี่ดีน้า..."

เด็กกระต่ายรื่นเริง สุดคะเนขมวดคิ้ว

รถเมล์แล่นผ่านหน้า คนแออัดเบียดเสียด

"ทำไม? ร้านอยู่ไกลนักหรือ ถ้าไม่มากเดินไปก็ได้นะ"

"กระต่ายกลัวพี่คะเนเหนื่อย...ไปแท็กซี่ก็ได้นะ กระต่ายจ่ายเอง"

สุดคะเนหยุดเดิน มองหน้าเด็กผมเปียอย่างจริงจัง

"กระต่าย ไม่ต้องห่วงพี่..."
ในใจนึกถึงใบหน้าคล้ำหมองของหญิงวัยกลางคนที่หอบของมาฝากลูก
"กระต่ายเองก็ยังต้องใช้เงินพ่อแม่ อย่าฟุ่มเฟือยกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง"

"โห แค่นี้เองต้องดุด้วย"
เด็กน้อยหน้าหมอง แต่แป๊บเดียวก็ยิ้มกว้างเหมือนเคย
"พี่คะเนเท่ที่สุดเลย กระต่ายชอบม้ากมาก คนแบบนี้แหละที่กระต่าย...ชอบ"

สุดคะเนส่ายหน้า สบตาใสแจ๋วก็ใจอ่อนอีกทุกที
ไม่สนใจคำตามท้ายที่แผ่วเบา ปากพูดไปว่า

"งั้นไม่ต้องกินอะไรข้างนอกหรอก กลับไปกินข้าวบ้านดีกว่า
เผื่อมีการบ้านอะไรจะได้รีบทำไม่เสียเวลา"


"เย้!" กระต่ายร้องลั่น "วันนี้เป็นวันของเรา...ดีใจจัง"



[คะเนอยู่บ้านคนเดียวสินะ...
เหงาไหม สมัยเรียนหนังสือฉันก็อยู่หอพักคนเดียวมาตลอด
เข้ากรุงใหม่ๆ ต้องอยู่กับญาติ แต่อาศัยเขาอยู่ก็มีเรื่องร้อนหูมาให้คับใจหลายอย่าง

ตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียวไม่รบกวนเขา ก็ยังไม่วายถูกกระทบกระแทก...
ฉันต้องหางานพิเศษทำเพื่อจ่ายค่าหอพักนะ
เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินพอสำหรับส่วนนี้หรอก บางวันฉันไม่มีเงินสักบาท
นั่งชะเง้อคอยธนาณัติ ร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง เพราะรู้ว่าเงินในครอบครัวหายไปไหนหมด

แต่ป่วยการที่จะกล่าวโทษพ่อแม่
ความต้องการในชีวิตของแต่ละคนต่างกัน
มันเป็นเรื่องนานมาแล้ว เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
และฉันก็คงเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่มานั่งฟูมฟายโกรธแค้นการกระทำของเขา
เหมือนสมัยยังเด็ก

นอกจากพยายามทำความเข้าใจ...]



"เอ้อ...เห็นแม่ของกระต่ายบอกว่า ชอบกินกะละแมเหรอ"
สุดคะเนถามขึ้นเรียบๆ แต่กระต่ายหน้าบึ้งทันที

"แม่เล่าอะไรให้พี่คะเนฟังอีกล่ะ!"

"เปล่านี่" สุดคะเนแปลกใจกับปฏิกิริยานั้นมาก
"ทำไม? ดูเหมือนกระต่ายจะ...เอ้อ...ไม่ค่อยพูดถึงแม่นะ"

"กระต่ายไม่อยากคุยเรื่องนี้"
เด็กผมเปียแข็งขืนกว่าที่เคยเป็น
แต่สุดคะเนเริ่มมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง เหมือนผนังที่แตกร้าว
และมีร่องรอยการแตกกะเทาะจากภายใน

"ก็ได้..." เด็กสาวจึงทอดเสียงนุ่มนวลลง
"วันไหนกระต่ายอยากเล่าให้พี่ฟังก็ยินดีนะ"

กระต่ายตัวแข็งเหมือนคิดไม่ถึง ทั้งๆ ที่ก็เป็นแค่คำพูดธรรมดา
มือที่กอดแขนสุดคะเนสั่นจนรู้สึกได้ เด็กสาวผมสั้นจึงเลื่อนมือไปจับมือเล็กเอาไว้

ระหว่างเดินจูงมือไปตามฟุตบาธที่มีแต่เสียงเครื่องยนต์คำราม
อีกไม่กี่ก้าวจะถึงป้ายรถเมล์ ต่างคนต่างเงียบงันกับความคิดคำนึงส่วนตัว

แต่ขณะที่กระต่ายเอาหัวใจทั้งหมดจดจ่อกับความอุ่นจากอุ้งมือรุ่นพี่
สุดคะเนคิดถึงจดหมายจากพระจันทร์



[ดีใจที่คะเนเล่าถึงห้องเช่าเล็กๆ...
ฉันพอจะนึกภาพออก อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก
แต่ก็คงเป็นโลกใบเล็กๆ ที่อบอุ่นน่าดู รู้จักนกเล็กๆ
ที่ร้องเพลงให้ฟังทุกตัวหรือเปล่า

เพลงอะไรเอ่ย...ที่ร้องว่า...
ตื่นเสียที ตื่นซะที้...
ใช่ไหมจ๊ะ เพราะแถวๆ บ้านของฉัน นกร้องเพลงคล้ายๆ แบบนี้แหละ
บางทีก็คุยกันเสียงจ๊อกแจ๊ก
กินอะไรดี๊...
กินนั่นสิจ๊ะ...
กินนี่สิจ๊ะ...
ชวนให้อยากเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยเสียจริง

อ้อ...บ้านที่ฉันเล่าว่าเลี้ยงนก ตอนนี้เขาไม่เลี้ยงแล้วนะ
แต่อย่าดีใจไป เพราะเขาหันมาเลี้ยงชะนีแทนจ้ะ
ร้องโหยหวนทุกเช้าจนฉันว่าจะไปแจ้งกองรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดูซะที...

คะเนว่าดีมั้ย...]




ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1373 วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2549

07 แค่มี

เช้านี้มีลมหนาวพัดมาบางๆ
เดือนตุลาคมกำลังมาถึง ฝนยังตกในภาคอื่นๆ
และกรุงเทพมหานครก็ยังมีน้ำท่วมขังเป็นแห่งๆ ไป

แถบจรัญสนิทวงศ์นั้น สะพานไม้ยังไม่ถูกรื้อถอน น้ำขึ้นลงเป็นเหตุการณ์ปกติ
สุดคะเนจึงหอบงานกลับมาทำที่บ้านบ่อยขึ้น
เด็กสาวยืมพิมพ์ดีดของออฟฟิศกลับมาด้วย
นอนดึก ตื่นเช้า เขียนงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างมีวินัย


ในช่วงนั้น จดหมายจาก The Moon ยังมีมาสม่ำเสมอ


[...เมื่อหลายปีก่อน ฉันทำงานกับชายหนุ่มคนหนึ่ง
เขาเป็นศิลปิน เป็นนักดนตรี เป็นนักเขียน เป็นอะไรๆ อีกหลายอย่าง
สำหรับฉัน เขาเป็นพี่ชายที่น่ารัก แล้วก็เป็นคนที่งานยุ่งเหยิง
เสียจนไม่มีเวลาพอที่จะหยิบจับทำอะไรเองได้หมด

ฉันเป็นคนเก็บกวาดงานที่กระจัดกระจายของเขาให้เข้าที่เข้าทาง
พบปะผู้คน(บางคน)แทนเขา พูดคุยโทรศัพท์แทน ตัดสินใจแทนในบางเรื่อง
และคอยตอบคำถามในตอนเช้าที่เขาตื่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้วว่า
วันนี้เขาต้องไปทำอะไรที่ไหนบ้าง...

ฉันเป็นคนเปิดจดหมายแทบทุกฉบับ (หลายร้อยฉบับ)
ที่มีมาถึงเขา จดหมายหลากสีหลายแบบ หนาบางต่างกัน
ฉันรู้สึกรักจดหมายเหล่านั้น...สำหรับเขา ฉันไม่รู้ได้...

ฉันเห็นภาพเด็กสาววัยสดใสหลายคน
ประดิดประดอยจดหมายแสนสวยถึงคนที่ชื่นชอบและศรัทธา
ฉันเห็นความตั้งใจ เห็นแววหวังในดวงตา
เมื่อเธอเหล่านั้นหย่อนจดหมายลงตู้ไปรษณีย์
ฉันอ่านจดหมายน่าเอ็นดูเหล่านั้นทุกฉบับที่ได้เปิด
ยิ้มและเศร้าไปกับเรื่องราวนานาที่พวกเธอเขียน

ฉันอยากให้เขาได้อ่านมันทั้งหมดเช่นกัน
แต่ว่า...ช่วงเวลาที่อยู่กับเขา มันนานพอที่ฉันจะรู้ว่า
เหตุผลแห่งหน้าที่ของฉัน ก็เนื่องมาจากเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดจดหมายนั่นเอง
ถ้าเป็นไปได้ และหากฉันมีค่าพอที่จะทดแทนได้ (ในตอนนั้นน่ะนะ)
ฉันก็อยากตอบจดหมายที่น่ารักเหล่านั้นแทนเขาเหลือเกิน

ฉันเล่าให้สุดคะเนฟังทำไมนะ
อ้อ...ฉันกำลังจะบอกว่า พบเธอครั้งแรกเมื่อไหร่นั่นเอง
ตอนนั้นฉันได้รับจุลสารใบตอง
(ที่ถูก ฉันน่าจะพูดว่าเขาได้รับต่างหาก ฉันมันแค่คนอ่านแทน)
ฉันหลงรักมันทันทีเลยรู้ไหม รักผลงานเล็กๆ ที่เกิดจากความตั้งใจของคนกลุ่มเล็กๆ
พวกเธอทำให้ฉันคิดถึงเพื่อนที่เคยร่วมกันทำความฝันคล้ายๆ กันนี้
สมัยที่เราทำงานในชนบท

ฉันจำชื่อ "สุดคะเน" และ "หวนคะนึง" ได้ตั้งแต่นั้น (ทั้งหมดคือเธอใช่ไหม)
ทำไมเธอถึงเลือกใช้ชื่อนี้
รู้ไหมฉันคิดอะไร ฉันคิดถึงการเดินทางแสวงหาสิ่งที่ชีวิตต้องการอย่างแท้จริง
ความลึกลับสุดหยั่งคะเนของชีวิตนี้ด้วย อีกทั้งความอาลัยอาวรณ์ในสิ่งล่วงไป...

...เธอเล่า รู้สึกอย่างไรกับชื่อของตัวเอง และเธอค้นพบสิ่งที่ตัวเองแสวงหาหรือยัง...]



สุดคะเนนอนบนเตียงเล็ก หนุนหมอนสองใบ
The Moon คนนี้ ช่างคิดช่างเขียนเหมือนกัน

[ฉันไม่ใช่นักกลอน ไม่ใช่คนเก่ง เป็นแค่คนเล็กๆ
ที่มีหนังสือเป็นเพื่อนบ้างในบางเวลา บอกตัวเองว่าชอบงานของ "หวนคะนึง"
แต่ฉันก็ไม่ได้ค้นหา หรือติดตามเพิ่มเติมให้มากกว่าที่ได้รู้ ได้เห็น
ฟังดู ฉันช่างเป็นคนที่ไม่จริงจัง เลื่อนลอยไร้สาระ...

ฉันรักท้องฟ้า แต่บางช่วงของชีวิต ฉันไม่เคยแหงนมองท้องฟ้า
รักภูเขา แต่ก็ไม่ดั้นด้นเดินทางไปดูภูเขา
ฉันรักฤดูหนาว แต่ก็ไม่ได้ชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่ฤดูหนาวจึงจะมา...

แต่เธอรู้ไหม ฉันรู้สึกได้ตลอดเวลาว่าฤดูหนาวเป็นอย่างไร
กลิ่นลมหนาวหอมแค่ไหน...
เมื่อเรารับอะไรสักอย่างเข้ามาอยู่ในอาณาจักรใจ มันจะอยู่ตรงนั้นเสมอ
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือโลกจะหมุนไปอย่างไร

เมื่อไรที่ฉันบังเอิญพบเห็นงานของเธอ
ฉันไม่เคยละเลยที่จะอ่าน
ด้วยความสุขใจว่า นี่คืองานอีกชิ้นอีกก้าวของเธอ
บางช่วงของชีวิตที่มีมรสุม ฉันไม่ได้พบเธอเป็นปีๆ
แต่ฉันก็รู้ว่าเธอยังอยู่ที่เดิม อยู่ตรงที่ที่ฉันชื่นชมเสมอมา...]



เสียงกุกกักดังหน้าระเบียง

สุดคะเนลดจดหมายลง เสียงคนเดินแล้วหยุด

ใครกัน?

ลุกไปแหวกม่านหน้าต่างดู



"มาหาใครคะ"
สุดคะเนเปิดประตูออกไป ผู้หญิงผอมบาง ใบหน้าหมองคล้ำ รีบวางของลง ยิ้มเจื่อนๆ

"ห้องนี้จ้ะ" ชี้ห้องที่ปิดอยู่

"อ๋อ..." สุดคะเนรีบยกมือไหว้ "กระต่ายกับเค็นยังไม่เลิกเรียนหรอกค่ะ"

"จ้ะ" ร่างผอมเกร็งรีบรับไหว้ "น้าเอาของมาไว้ให้เฉยๆ เดี๋ยวก็ไปแล้ว"

"จะรอมั้ยละคะ อยู่ห้องคะเนก่อนก็ได้"

"ไม่เป็นไรจ้ะ" คำปฏิเสธจริงจัง "ติดรถเขามา อยู่นานไม่ได้"
ตาฝ้าขุ่นดูครุ่นคิด ก่อนค่อยๆ เอ่ย
"เอ้อ...แล้วกระต่ายเป็นยังไงบ้าง..." สุดคะเนงงกับคำถาม

"ก็...สบายดีนี่คะ แข็งแรงดี แต่ถ้าเรื่องเรียน...ไม่รู้เหมือนกัน
ยังไงจะถามกับเค็นให้ค่ะ"

"จ้ะ ขอบใจมาก งั้นน้าไปก่อนนะ...หนูชื่ออะไรนะ"

"คะเนค่ะ"

"หนูคะเน..." ร่างผอมทวนคำ
"น้าฝากดูเค็นกับกระต่ายด้วยนะ อยู่ใกล้ๆ กัน
มีอะไรก็ตำหนิติเตียนได้เลย โดยเฉพาะกระต่ายน้าห่วงเขามาก..."
อย่างนึกได้ ผู้หญิงวัยกลางคนรื้อตะกร้า

"หนูแบ่งกะละแมไปกินด้วยนะ กวนมาใหม่ๆ...
กระต่ายน่ะชอบกิน แต่พอเกิดเรื่องก็ดื้อไม่เอาไปเสียทุกอย่าง
ถ้าชอบก็บอกเค็นไว้นะจ๊ะ จะเอามาให้อีก"

ร่างผอมเกร็งลงบันไดไปแล้ว สุดคะเนถือถุงขนมยืนงง
นี่คือแม่ของเค็นกับกระต่าย?
เธอเคยเห็นแว้บๆ แต่ไม่เคยคุยด้วย แปลกจัง มาหาลูกตอนที่รู้ว่าลูกไม่อยู่?

ตะกร้าหวายใบใหญ่วางโดดเดี่ยวหน้าห้องหมายเลข 7

...คนเรามักมีเหตุผลของตัวเอง สุดคะเนถอยหลังเข้าห้อง
แต่สายตายังเห็นร่างผอมคล้ำก่อนเลี้ยวหัวมุม เห็นสายตาที่เหลียวมองมา

สายตาของแม่...



กลับมาล้มตัวนอน อ่านจดหมายต่อ

[พรุ่งนี้เช้า ฉันต้องรีบตื่นไปทำงานอีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง
ย่านธุรกิจที่แออัดไปด้วยผู้คน...

คะเนชอบนั่งเรือไหมจ๊ะ...
ทุกวันฉันเลือกที่จะนั่งเรือไปในแม่น้ำสายเดียวกับที่ไหลมาจากบ้านเกิด
ฉันชอบเสียงเครื่องเรือที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ผสานกับเสียงน้ำสาดกระทบกราบเรือดังซ่า...ซ่า...
บางหยดก็กระเซ็นมาถูกพอเย็นกายเย็นใจ
แต่บางวันลมแรง คลื่นแรง ก็เล่นเอาตัวเปียกไปครึ่งหนึ่งเหมือนกัน)
ชอบนั่งดูคนมาซักผ้าริมตลิ่ง ดูคนแก่หิ้วปิ่นโตไปวัดริมน้ำ
ดูเด็กแก้ผ้ากระโดดน้ำกันตูมๆ

เห็นผักตบชวาลอยเอื่อยๆ สวนกับลำเรือ
เอ๊ะ...มันลอยมาจากบ้านฉัน หรือกำลังจะลอยผ่านไปบ้านฉันกันแน่...
ลองเหลียวดูบนฝั่งไกลๆ เห็นรถติดเป็นแถวยาว
บางทีเห็นคนวิ่งแข่งกันขึ้นรถประจำทาง น่าเหน็ดเหนื่อยเสียจริง...

ถ้าโลกหมุนช้าลงกว่านี้สักหน่อย คงจะดีนะ]



...ป่านนี้กระต่ายคงยังอยู่ที่โรงเรียน เด็กคนนั้นล่ะ ชอบนั่งเรือบ้างไหม?



[สุดคะเน...ทำไมบางครั้งตัวหนังสือของเธอจึงเหงานัก
เธอมีเรื่องเศร้าใช่ไหม มนุษย์ทุกคนมีความเศร้า
มีเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือนไปจากใจ เธอและฉันคงไม่ต่างจากใครๆ หลายคน

นานแล้วที่นักเขียนคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า...
แม้ชีวิตจะไม่ได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ
แต่เราก็ควรจะขอบคุณในสิ่งที่เราได้รับเอาไว้แล้ว...

...สายลมเดือนตุลา มีกลิ่นฤดูหนาวมาเบาบาง
ฟ้าครึ้มๆ เมื่อเช้าเริ่มเห็นแดดใสๆ แต่ตอนนี้มีฝนโปรยบางๆ
บางครั้งธรรมชาติก็ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันได้สวยงามอย่างนี้
นกกระจอกอ้วนๆ ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ระเบียง มันสะบัดขนจนฟู
ดูอ้วนกลมยิ่งกว่าเดิม อีกสักพักตัวแห้งมันคงบินไป

บ้านใกล้ๆ ฉันเขามีนกอยู่ในกรง
ทำไมคนชอบเลี้ยงนก
ทำไมชอบดูนกกระโดดอยู่ในกรง มากกว่าเห็นมันบินไปบนฟ้า...
แต่นั่นแหละนะ โลกนี้มีอีกหลายเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ
หนึ่งในหลายเรื่องนั้นก็คือ ความซับซ้อนในจิตใจมนุษย์นี่เอง]



เอ๊ะ...กระต่ายเคยพูดถึงแม่หรือเปล่า...?



[โกวเล้งเขียนไว้ว่า

...ชีวิต เฉกเช่นใบไม้ในสายลม จอกแหนบนผิวน้ำ

บางครั้งไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง

มีเรื่องราวมากมายที่อยากกระทำ แต่ไม่อาจกระทำได้

มีเรื่องราวหลากหลาย ที่ไม่ปรารถนากระทำ

แต่มิอาจไม่กระทำ...]

เด็กคนนั้นไม่เคยพูดถึงแม่...สักครั้งก็ไม่เคยได้ยิน



[...ฉันไม่ใช่นักเขียน ไม่ใช่เด็กสาววัยหวาน
เป็นเพียงคนทำงานที่เหน็ดเหนื่อย
ทุกข์บ้างสุขบ้างในท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า
แต่ฉันก็ยังพยายามตามหาความฝันที่หล่นหาย
คงไม่ช้าไปใช่ไหม ที่ฉันจะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้
นั่นคือ เขียนมาทักทาย "สุดคะเน"
และบอกว่าฉันดีใจที่ได้พบเธอ

ถ้าหากเป็นไปได้...
สักวัน ฉันจะชวนเธอนั่งเรือ ไปขึ้นที่ท่าน้ำหน้าวัด
ตามหลังผู้เฒ่าผู้แก่ไปทำบุญ...ถ้าหากเป็นไปได้

...จากเพื่อนที่เธอไม่รู้จัก


...พระจันทร์]




เด็กคนนั้นไม่เคยพูดถึงครอบครัว...
กับเค็นก็ไม่เรียกว่าพี่...
สุดคะเนดีดตัวลุกขึ้น
ตามองห่อขนมที่วางบนโต๊ะมุมห้อง เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเด็กคนนั้นจึงติดพันเธอนัก



คงแค่อยากมี...พี่สาว ก็เท่านั้น




ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1372 วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2549