06 May 2007

16 บนฟ้า

[สุดคะเนจ๊ะ...
ฉันอ่านผลงานของเธอจากไหนก็ช่างเถอะนะ
อาจจะเป็นที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเธอเคยส่งไปตั้งแต่หลายปีก่อน
แล้วฉันก็เคยเห็นเพียงฉบับเดียว ไม่เคยเห็นฉบับอื่นอีกเลย
จะสำคัญอะไรล่ะว่าใครเป็นคนรับ ในเมื่อฉันได้พบเธอแล้ว...

แต่ถ้ามันสำคัญสำหรับเธอ...ไว้มีโอกาสเจอกัน ฉันจะเล่าให้ฟัง
ดีใจที่เธอบอกว่าอยากเจอฉัน แต่ฉันไม่ได้น่ารัก
ไม่ได้ใสอย่างตัวหนังสือที่เธอเห็นหรอกนะ
เอ๊ะ คะเนเป็นคนที่ไม่ชอบคาดหวังใครนี่นา...”]



ยังคงมีสายลมเหมือนทุกวัน หูกวางผลัดใบ
เด็กๆ เล่นฟุตบอลส่งเสียงเอะอะมาจากด้านหลังบ้าน
สุดคะเนถอดรองเท้าหน้าห้อง ชำเลืองดูไม้ในกระถาง
ดินแห้งผากทั้งที่ให้น้ำทุกเช้าเย็น
ห้องหมายเลขเจ็ดยังปิดเงียบ
เปิดห้อง วางกระเป๋า นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเปิดเพลงที่ฟังซ้ำหลายวันมานี้

“...ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันพลบค่ำ ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่นใจ
ใต้ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว
จะอายทำไมกับพระจันทร์”

แมวน้อยลายเหลืองวิ่งมาหยุดหน้าระเบียง ส่งเสียง “แอ๊ว”



[...ฉันมีเพื่อนทางจดหมาย 2 คน
คนหนึ่งรู้จักกันมาสิบสามปีเข้านี่แล้ว
นึกถึงตอนรู้จักกันทีไรก็ยิ้มได้ทุกที
ฉันเขียนการ์ตูนไปประกวดที่หนังสือชัยพฤกษ์ เผอิญได้ตีพิมพ์
เพื่อนคนนี้เกิดรักแรกพบกับการ์ตูนของฉัน เลยเขียนจดหมายมาหา
โอ๊ย มีความสุข เขียนกันไปมาเป็นร้อยๆ ฉบับ
บางฉบับหนาเตอะยังกะเขียนรายงาน อยากเจอกันแทบตาย
แต่อยู่ห่างกันคนละจังหวัด จนฉันเข้ากรุงเทพฯ ตั้งนานถึงได้เจอกัน
ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าอะไร

แล้วเชื่อไหม ตลอดเวลา 13 ปี
ได้พบหน้ากันจริงๆ 2 ครั้งเท่านั้น เป็นเวลาที่น่ารักและน่าจดจำ
เรารักกัน สนิทกันมากขึ้น โทรศัพท์คุยกัน ปรับทุกข์ปันสุข
เพื่อนบอกว่าเมื่อคิดถึงก็อยากคุยเลย ใช้โทรศัพท์เร็วกว่าเขียน

...ฉันยังเขียนอยู่นะ แต่เพื่อนมักตอบกลับมาเป็นโทรศัพท์มากกว่า...
แม้ความผูกพันระหว่างเราจะแน่นแฟ้น ใกล้ชิดกันมากขึ้น
แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนสูญเสียบางอย่างไป
ถ้าเราพบกัน...สุดคะเน...เธอยังจะเขียนจดหมายถึงฉันเหมือนเคยหรือเปล่า”...]



“หิวหรือ?”
สุดคะเนนั่งลง ยื่นมือแตะหัวที่มีลายสวย
แมวน้อยตอบทันที “แอ๋ว” แล้วลงนอนเกลือกกลิ้งให้ท่า

เด็กสาวยิ้มออก “งั้นรอเดี๋ยว อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ”

เดินกลับเข้าครัวเล็กๆ
ในแสงสว่าง ลูกกรงเหล็กดัดดูกระด้าง เปื้อนคราบฝุ่นละออง
แว่วเสียงครวญในคืนมืดมน รีบสลัดบางภาพในทรงจำทิ้ง
อาหารบางอย่างแปลกใหม่เมื่อได้ชิม พออิ่มก็นึกพิศวงว่ารับเข้าไปทำไม
ค้นหาของเหลือในตู้ แทบไม่มีอะไรเลย นอกจากหมูทอดชิ้นเล็กๆ
จะเป็นอันตรายกับสุขภาพเจ้าสี่ขานั่นไหม?
สุดคะเนตัดใจ ล้างหมูซ้ำๆ ในน้ำสะอาด
ฉีกเป็นเส้นฝอย ชิมดูจนแน่ใจว่าไม่เค็มเกินไป
กลับออกมา เจ้าตัวดียังตาแป๋วอยู่กับที่ ไม่วุ่นวาย ไม่หลบหนี

“มา...กินนี่ไปก่อน” เรียกก็เข้าหา สุดคะเนนึกเอ็นดูจับใจ
แมวที่บ้านของ The Moon สีแบบนี้หรือเปล่านะ



[คะเนจ๊ะ...เสียใจกับเธอด้วยเรื่องแม่
ชีวิตเป็นอย่างนี้ละนะ
ได้รับและสูญเสีย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
ใกล้ๆ เวลาที่แม่ของคะเนป่วย คุณยายของฉันก็อยู่โรงพยาบาลเหมือนกัน
ฉันลาพักร้อนไปเฝ้าคุณยาย โรงพยาบาลอำเภอเล็กๆ
ตั้งอยู่ใกล้ๆ ภูเขา อากาศหนาวจับใจ
ฉันนั่งกอดอกอยู่ข้างเตียง มองใบไม้สีเหลืองที่กำลังจะหล่นจากกิ่ง
รู้สึกเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก

เพราะอะไรรู้ไหม...
คุณตาคุณยายเป็นความสวยงามของชีวิตฉัน...อาจจะยิ่งกว่าพ่อกับแม่
ฉันเพิ่งสูญเสียคุณตาไปตอนปีใหม่ พอใกล้สิ้นปี คุณยายก็ล้มเจ็บ
เจ็บอย่างทรมานด้วยโรคมะเร็ง ของขวัญปีใหม่ทั้งสองปีติดต่อกันที่ฉันได้รับ
คือการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก
แล้วรู้ไหม...อ่านจดหมายของคะเน ฉันร้องไห้อยู่ในใจ
ได้ยินเหมือนเสียงคุณยายเรียกเหมือนเคย อยากกอด อยากพุดคุยด้วย
อยากให้มือเหี่ยวย่นแต่อบอุ่นลูบหัวเหมือนเคย
คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงแสงตะเกียงและเสียงขลุ่ยข้างมุ้งสีขาว
ที่คุณตากางให้ทุกคืน ทุกอย่างแจ่มชัดเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
จริงๆ แล้ว ไม่มีใครตายจากเราไปได้หรอก ตราบที่เรายังรักเขาอยู่...]



“ค่อยๆ กินก็ได้”
สุดคะเนบอกกับแมวน้อย

“แอ๋ว” เสียงตอบหวานใส สลับเสียงเคี้ยวฮึ่มฮั่มๆ

“พี่คะเนขา...” กระต่ายวิ่งพรวดขึ้นบันไดมาเหมือนเคย
แมวน้อยตกใจสะดุ้งสุดตัว วิ่งแผล็วทั้งที่อาหารคาปาก

“อุ้ย! แมว...มาจากไหนคะ” กระต่ายตาโต

“จากไหนก็ช่างมันเถอะ เดินเบาๆ ไม่เป็นหรือไงกระต่าย”

เด็กสาวหน้าเสีย สุดคะเนชะโงกหาแมวน้อย ตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ

“หนูแอ๋ว...ไปไหนแล้วล่ะ มากินให้หมดซี”
อีกครั้งที่กระต่ายยืนนิ่ง ความน้อยใจพุ่งขึ้นเป็นริ้วๆ
แต่คนที่ห่วงแมวมากกว่าคนยังไม่สนใจสักนิดเดียว

“พี่คะเนคะ”

“...คะ”

เสียงเรียบ เหมือนไม่เคยใกล้กัน...อีกแล้ว

“อาทิตย์นี้ กระต่ายกับเพื่อนๆจะลองไปเล่นเปิดหมวกกันดูค่ะ
พี่คะเนไปให้กำลังใจกระต่ายมั้ยคะ”

“ดูก่อนนะ ไม่แน่ใจ พี่อาจมีงานข้างนอก”

เด็กผมเปียหน้าสลด
ความเจ็บปวดที่ไม่คิดว่าจะมีซึมแทรกเข้ามาเหมือนไฟไหม้กระดาษ

ตาดำยังมองอย่างเฉยเมย
ประสบการณ์ระยะสั้นบอกกับหนูน้อยว่า
พี่คะเนจะดีกับเธอเมื่อ...อยู่ในโลกเร้นลับเท่านั้น

ฝืนยิ้ม บอกกับรุ่นพี่ว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นกระต่ายไปเตรียมอาหารนะคะ พี่คะเนหิวหรือยัง”

“ไม่รอกินกับเค็นหรือ”

“เค็นไปบ้านเพื่อนอีกแล้วค่ะ ถ้าพี่คะเนยังไม่หิว ยังไม่ทำก็ได้ค่ะ จะได้ทานตอนร้อนๆ”

สุดคะเนถอนใจ ก้มลงเก็บเศษอาหารที่หนูแอ๋วกินทิ้งไว้ เสียงอ่อนลง
“ทำเลยก็ได้ค่ะ กระต่ายจะได้ทำการบ้านเร็วๆ...
แต่ที่จริง ไปกินข้างนอกก็ได้นะ ไม่ต้องเหนื่อยหรอก”

“เหรอคะ!” กระต่ายตาใสขึ้น “พี่คะเนว่างไปได้หรือคะ”

“รีบไปรีบมาไหมล่ะ กินอะไรง่ายๆ หน้าปากซอยแล้วกัน”

“ดีค่ะ” กระต่ายกระโดดเข้าหอมแก้ม “พี่คะเนน่ารักที่สุดเลย...”



[...คะเนจ๊ะ
บ้านริมคลองคงเป็นที่รวมความสวยงามในชีวิตของเธอสินะ
คะเนเล่าจนฉันรู้สุกอบอุ่นไปด้วย นึกรักบ้านของเธอขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยเห็น
คงเป็นอย่างที่ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า...

A house is made of brick and stone...
A home is made of love alone.

เธอคงเหนื่อยน่าดู การอยู่ในกรุงเทพฯ บางครั้งต้องต่อสู้มากมาย
กอง บ.ก. มีกี่คนนะ คะเนต้องรับกี่คอลัมน์...
ถ้ารู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ อยากให้รับรู้นะว่ามีเพื่อนที่เอาใจช่วยเธออยู่
อยากให้ทำงานอย่างมีความสุข...]



หายไปแล้ว เจ้าแมวเหมียว
สุดคะเนยังคงมองหา พยายามส่งเสียงเรียก

“แอ๋ว...หนูแอ๋ว” แต่ไร้การตอบรับ

กระต่ายกำลังรีบเร่งเปลี่ยนเสื้อผ้า เสียงกุกกัก โครมคราม
“โอ้ย!”
หกล้มอีกแล้วกระมังเด็กซุ่มซ่าม

ครู่ใหญ่ กว่าจะออกจากห้องด้วยแก้มเปล่งปลั่ง
รวบผมขึ้นสูงเปิดให้เห็นต้นคอเกลี้ยงเกลา
เวลาอยู่นอกเครื่องแบบนักเรียน เด็กคนนี้โตขึ้นผิดตา

“พร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
สุดคะเนขมวดคิ้ว

“แต่งหน้าด้วยหรือนั่น ไปกินข้าวแค่นี้เอง”

“...ทาลิปนิดเดียว” กระต่ายเข้ามาคล้องแขนอย่างสนิทสนม
จะไม่ให้สนิทได้อย่างไร ในเมื่อ...

“น่า...ทำเป็นคนแก่ไปได้ เดี๋ยวนี้เด็กๆ เค้าไปถึงไหนๆ แล้วจ้า”

“พี่รู้ดี เรื่องนั้นน่ะ”

“แป่ว...” กระต่ายยังใจดีสู้เสือ
เธอต้องอดทน เด็กสาวบอกกับตัวเอง
พี่คะเนเป็นคนอ่อนไหวจะตาย ทำเป็นเย็นชาอย่างนี้
เดี๋ยวเถอะ กระต่ายเริ่มรู้แล้วว่าต้องใช้ไม้ไหน

“พี่คะเนชอบทานผักบุ้ง...กระต่ายจำได้ เดี๋ยวจะสั่งไฟแดงให้นะคะ
กับแกงจืดสาหร่ายดีไหมคะ เอาร้านข้าวต้มอาเฮียนะคะ”

[“คะเนจ๊ะ
...ดึกแล้วล่ะตอนนี้ บ้านเงียบสงัด
อยู่คนเดียวยิ่งรู้สึกว่าเงียบมากเหลือเกิน
ฉันกำลังฟังเพลงจากเทปที่ร้องว่า...
โอ้ยอดรัก ฉันกลับมา จากขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล
จากโคนรุ้งที่เนินไศล...จากใบไม้หลากสีสัน…
คะเนคงได้อ่านจดหมายของฉันเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว
คืนนี้เธออยู่คนเดียวหรือเปล่า...ห้องเล็กๆ ของเธอคงน่ารักเหมือนเคยสินะ
เอ...แล้วถ้าฉันกับเธอได้พบกัน เราจะไปเยี่ยมบ้านใครก่อนดี



อย่าเหงานะคืนนี้...
ไม่ว่าเธอจะมีเรื่องเศร้าหรือสุข บนฟ้าก็มีพระจันทร์เสมอนะจ๊ะ…]


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1381 วันที่ 02 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

15 ครั้งที่สอง

กระต่ายน้อยตัวสั่นเทาเมื่อดวงตาเยือกเย็นเบือนมามอง
น้ำเดือดกี่องศา หรือแสงจากพระจันทร์เร้นซ่อน
มีเงามืดในสายตาคู่นั้น หรือเป็นเพราะค่ำคืนเดินทางเร็วเกินไป
เข็มนาฬิกาส่งเสียงเบาๆ จากเหนือหัวนอน
สิ่งที่จู่โจมเข้ามาจึงร้อนสุดร้อน หนาวแสนหนาว จนเหมือนจับไข้

“ว่าไง”
หน้าซีกหนึ่งของสุดคะเนตกในเงามืด
เด็กผมเปียปากคอแห้งผาก น้ำตาเหือดตั้งแต่เมื่อไหร่

“งั้นก็กลับไป...”

“ตกลงค่ะ กระต่ายจะอาบน้ำที่นี่!”

สุดคะเนยกมุมปาก ดูแทบไม่ออกว่ายิ้มหรือหยัน
กระต่ายยังตัวแข็งทื่อเมื่อผ้าเช็ดตัวผืนเดิมส่งมาให้
“...รีบๆ หน่อยก็ดีนะ ไม่อยากเห็นกระต่ายป่วย”


กระต่ายเข้าไปในห้องน้ำ
ขาสั่นเทาเมื่อเอนหลังพิงกับอีกด้านของประตู
มีเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ที่ด้านนอก เป็นครั้งแรกที่กลัวพี่สุดคะเนจนบอกไม่ถูก
เด็กน้อยไม่รู้เลยสักนิด ในบางครั้ง กระแสลึกลับก็สร้างพายุปั่นป่วนได้แม้ในถ้วยกาแฟ
รสชาติหวานหอม บางคราวส่งผลถึงการเต้นของหัวใจ
บางคนเสพติดแม้ในสิ่งที่ตนเองไม่คิดว่าชอบ...
ไม่รู้ตัว ว่าสิ่งที่ทำลงไป ด้วยความติดพัน หลงใหล
หรือเป็นแค่สัญชาตญาณ การ “ได้” มา

มีเสียงเบาที่ประตู กระต่ายสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงแรงผลัก
“เอ้อ...ยังไม่เสร็จค่ะ” รีบร้องบอก

“ทำไมเงียบ?” เสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “ร้องไห้อยู่อีกหรือ”

มีความอุ่นไหลเข้ามาเพราะกระแสเสียงนั้น
เด็กผมเปียรู้สึกเหมือนตัวเองวนว่ายในทะเลเวิ้งว้าง
จู่ๆ ฟ้าก็สว่างใส มีเกาะแก่งให้เห็นแต่ไกล
ใจคอระส่ำระสายค่อยๆ รวมเข้าหากัน
บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งกลัว เท่าที่เป็นอยู่นี้ มากกว่าเคยคิดเป็นไหนๆ
เสียงที่ตอบไปอีกครั้ง จึงเจือความเป็นกระต่ายคนเดิม

“เปล่าค่ะ...พี่คะเนจะอาบด้วยหรือคะ!”


สุดคะเนเท้าแขนข้างหนึ่งกับประตูห้องน้ำ
ขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องถาม
นึกจะตอบว่า “ไม่” แต่อีกใจกลับลังเลเหมือนตรองไม่ตก
ถามใจตัวเองกี่ครั้ง ไม่คิดอะไรกับเด็กคนนั้นมากกว่าความเอ็นดู เห็นใจ
แต่พอคิดจะปล่อยกระต่ายคืนป่า...ไยจึง...


แกร๊ก!


กลอนประตูเลื่อนออก ตัวปัญหาโผล่หน้ามาอย่างหวาดๆ
แต่เนื้อนวลที่โผล่พ้นชายผ้าทำให้ต้องกลืนน้ำลายยากเย็น
กระต่ายในผ้าขนหนูสีน้ำตาล ร่างสูง ผมยาวคลุมไหล่ นัยน์ตาชี้เฉียง
เหมือนเดินออกมาจากเรื่อง Moon Child ของ Reiko Shimizu
จู่ๆ เด็กคนนี้ก็มีอีกด้านเป็นสาวสวย...

“จะอาบให้กระต่ายจริงหรือคะ”

“เอ้อ...” สุดคะเนอึกอัก “ไม่แล้วดีกว่า”
กระต่ายยิ้มถูกใจเมื่อเห็นคนที่ไม่น่าเขินกลับหน้าแดงให้เห็น
ความมั่นใจกลับมา คว้าแขนสุดคะเนดึงเข้าข้างใน

“กระต่ายอาบให้ดีกว่าค่ะ”

“ไม่...” สุดคะเนขืนตัว กระต่ายยิ้มชอบใจ ตักน้ำในถังสีน้ำเงินราดลงบนตัวรุ่นพี่
สุดคะเนเย็นวาบเมื่อน้ำไหลซอนเข้าในเสื้อผ้า

“แกล้งพี่เหรอ!” แย่งที่ตักน้ำคืน กระต่ายหัวเราะเสียงใส

“แกล้งกระต่ายก่อนทำไมละคะ”

“งั้นมานี่เลย...” สุดคะเนผลักเด็กน้อยเข้าชิดมุม เปิดฝักบัวให้ไหลแรง
กระต่ายดิ้นหนีจนผ้าเช็ดตัวเลื่อนหลุด ด้วยความอายรีบยื้อยุดอีกฝ่ายไว้

เนื้อแนบเนื้อ เสื้อของสุดคะเนเปียกชุ่ม กระต่ายผวาเมื่อมองหานัยน์ตาสีดำไม่เห็นแล้ว
มีแต่ผมสั้นเกรียนฉ่ำน้ำ...ให้ไขว่คว้า



คืนนี้พระจันทร์ไปอยู่ที่ไหน

แสงนีออนสว่างจนไม่อยากลืมตาขึ้นเลย
แต่เงาสะท้อนในกระจกยั่วเย้าให้แอบมอง
กระต่ายไม่เคยเห็นตัวเองในภาพเช่นนั้นมาก่อนเลย
ไม่เคยเห็นรุ่นพี่ในภาพแบบนี้ด้วย

“...กระต่ายโตกว่าอายุมากเลยนะ”
เสียงพึมพำ กระต่ายสะท้านเมื่อคำพูดสัมพันธ์กับการกระทำ

“หรือคะ...”

“ใช่...” สุดคะเนเสียงพร่า “นี่นะ พี่มีอะไรจะบอก”

“อะไรคะ”

สุดคะเนไม่ตอบ ปิดน้ำ ดึงผ้าเช็ดตัวเปียกชุ่มพันรอบตัวเด็กสาว
ลูบผมรุ่ยร่าย รีดหยาดน้ำไหลออกบ้าง แล้วจูงมือออกมา
ปิดไฟทุกดวงที่เดินผ่าน ไม่เว้นแม้แต่ด้านหลังซึ่งเปิดออกไปเป็นครัวเล็กๆ
มีซี่เหล็กดัดกั้นขวาง มองออกไปเห็นสนามฟุตบอลยามค่ำคืน
แสงไฟสาดส่องไกลๆ เห็นทางเดินเลียบรั้วเลือนราง

“ทางเดินไปท่าเรือ” สุดคะเนกระซิบบอก “เคยไปมั้ย”

“ยังค่ะ”

“วันหลังจะพาไป มีที่นั่งเล่น วิวสวยทีเดียว”

“ค่ะ”

ไฟดวงสุดท้ายดับลง ภายในห้องมืดสนิท
สุดคะเนพาสาวน้อยไปยืนเกือบชิดตะแกรงกั้น

“ข้างนอกสว่างกว่า...ถึงมีคนมองมาก็ไม่เห็นเราหรอก”

“จะ...ทำอะไรคะ”

“พี่อยากฟังเรื่องของกระต่ายอีก”

“...เรื่องอะไรละคะ กระต่ายเล่าไปหมดแล้ว”

“ยังไม่หมดหรอก เชื่อสิ” กระต่ายหายใจติดขัดเมื่อฝ่ามือนุ่มนวลรั้งให้เอนแนบอก
เสื้อของสุดคะเนยังเปียกปอน แต่ทำไมผิวเนื้อจึงร้อนผ่าวขนาดนั้น

“...พี่คะเน”

“จ๋า”

“กระ...กระต่ายไม่มีอะไรจะเล่า”

“ต้องมีสิคะ”

มือของพี่คะเนซุกซนปานนี้เชียวหรือ กระต่ายใจเต้นรัว
รั้งชายผ้าที่ห่อตัวไว้แต่ไม่อาจต้านทาน
ไม่รุนแรงเลยสักนิด แต่การรุกล้ำสร้างความรวดร้าวสุดทน

“ไหนว่าเก่งนักไง”

“...อย่า...อย่าแกล้งกระต่ายสิคะ”

“ไม่ได้แกล้ง” ริมฝีปากเคลียใบหู “ดูโน่นสิ มีคนเดินมาด้วยแน่ะ”

“อุ้ย! ไหนคะ” กระต่ายตระหนก รีบขืนตัวเมื่อเห็นว่ามีคนมาจริงๆ ด้วย
แต่อยู่ไกลและสูงกว่า จึงเห็นเงาตะคุ่มที่เคลื่อนไปตามเส้นทางอย่างไม่สนใจอื่นใด

“เค้าไม่รู้แน่ๆ ว่ามีใครอยู่ตรงนี้”

“...พี่คะเน”

“ไม่รู้หรอกว่ากระต่ายกำลังรู้สึกยังไง...ใช่มั้ย”

กระต่ายสำลัก ทรงตัวแทบไม่อยู่ มือเอื้อมไปจับซี่ลูกกรงแน่น สั่นเทา
สุดคะเนย่ามใจ กระต่ายตัวนี้แสนโอชะจริงๆ ยังไม่เคยพบใครไร้เดียงสาเช่นนี้มาก่อน

“...ไม่ชอบหรือคะ”

“...มะ...ไม่ค่ะ กระต่ายไม่รู้”

“งั้นก็อย่าดิ้นสิ อยู่เฉยๆ”

“ไหน...ว่าจะให้กระต่ายเล่าอะไรให้ฟัง”

“เล่ามาสิ ว่ากระต่ายเคยคิดถึงพี่แบบนี้หรือเปล่า”

“....เอ้อ...เอ้อ”
“ไม่เคยละสิคะ ไม่เคยคิดว่ามันจะ...เป็นแบบนี้ใช่มั้ยคะ”

“พะ...พี่คะเน...แล้วที่จะบอกกระต่ายล่ะคะ”

“...นี่ไง” สุดคะเนกรอกเสียงหนักแน่น
“...พี่ชักชอบ...เวลากระต่ายอยู่ในเงื้อมมือพี่”

กระต่ายจะตายแล้ว ใครก็ได้ช่วยที!
เด็กสาวมองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป
ตัวสั่นระริกเพราะถูกสั่งสอนจากคนชำนาญ ไอร้อนผ่านทะลุผ้าเข้าหาแผ่นหลัง
หลับตา กัดริมฝีปากเพราะกลัวจะส่งเสียงดังเกินไป
สุดคะเนก็หลับตา รู้สึกเหมือนละลายไปกับสาวน้อย
พระจันทร์เคลื่อนออกมาในเสี้ยวนาทีแต่แล้วก็ถูกเมฆบดบังอย่างเดิม
เงามืดตกกระทบอีกครั้ง กลืนใบหน้าสุดคะเนเลือนหาย
ในท่ามกลางเสียงกรีดร้องแผ่วเบา




ครั้งที่สองของกระต่าย.

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1380 วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2550

14 ที่นี่

[สุดคะเนจ๊ะ เคยฟังเพลงนี้ไหม


“...คืนมืดหม่น ไร้ผู้คนหมางเมินห่างไกล
ใครให้กำลังใจ ใครจุดไฟให้เราก้าวนำ
ความทรงจำย้ำเตือน...มิเคยเลือน
อดีตฝังจำ รอยเท้าเคยเหยียบย่ำ ไปตามหนทางเป็นไท...
เคยนอนหนาวสั่น ผิงไฟกันที่ริมท้ายไร่
คุยข้ามเปลผ้าใบ ใจสู่ใจซึ้งในวิญญาณ
...ฟังลำธารไหลริน เสียงยุงบินแทนสื่อสัญญาณ
พาฝันล่องลอยผ่าน ลำธารเสรีพลีธรรม...”

ฉันกำลังคิดถึงพี่ชายคนหนึ่งที่รักมาก เคยสับสนกับชีวิตในเมืองกรุง
ถึงกับดั้นด้นไปหาเขาถึงอุทัยธานี ทั้งที่มีที่อยู่บนหัวจดหมายที่มาจากเขาเท่านั้นเอง
ไปช่วยเขาเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ดูเขาทำเกษตรผสมผสาน ไปนอนดูฟ้าดูดาวกับเขา
เพลงนี้...ก็ฟังครั้งแรกจากเขานั่นแหละ แล้วเลยกลายเป็นเพลงที่เหมือนเป็นกำลังใจ
ร้องบ่อยๆ เวลาท้อ และเวลาที่คิดถึงคืนวันอันแสนดีเหล่านั้น...]

สายลมพัดมาจากไหน ใต้หรือเหนือ หรือจากเมืองแมนแดนใดที่ไม่รู้จัก
สุดคะเนสูดลมหายใจลึกๆ ในมือมีจดหมายฉบับใหม่จาก The Moon
กุหลาบเมาะลำเลิงหน้าห้องเหี่ยวเฉา เพราะแดดแรงหรือลืมรดน้ำกันแน่
จมูกได้กลิ่นโคลนลอยขึ้นจากบึงหมาดน้ำข้างอพาร์ทเม้นท์
ฝนทิ้งช่วงไปแล้ว ผักตบชวาชูช่อสวย มีชีวิตแม้ในแอ่งน้ำขังเพียงเล็กน้อย
เช่นเดียวกับดอกไม้สีม่วงอีกชนิด แตกดอกรูประฆังในกระถางผุ
หูกวางข้างสนามหญ้าร้างซึ่งกลายเป็นลานฟุตบอลของเด็กๆ ไปเสียแล้ว
ผลิใบหรือสลัดใบ?

แปลกจริง สุดคะเนรู้สึกว่าตัวเองแยกแยะอะไรต่อมิอะไรยากเหลือเกิน
มีเสียงเล็กๆ พยายามพูดอะไรสักอย่างข้างใน
เหมือนเสียงจากต้นส้มของเด็กชายเซเซ่ หรือเป็นคำกระซิบของภูติพราย

[…เฮ้อ ดูเถอะ อุตส่าห์เป็นแม่สาวใจกล้า บุกไปค้างอ้างแรมกับเขาได้
แต่ความรู้สึกในใจไม่เคยบอกเขาสักที เขาก็ดี๊...ดี
ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีของน้องสาวตลอดมา...จนกระทั่งทุกวันนี้
(ยังกะตอนจบของนิทาน)
แต่ว่า...แบบนี้อาจจะสวยงามกว่าก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าถ้าบอกแล้ว
เขาจะยังอ่อนโยน และยอมเราทุกอย่างแบบนี้ไหม...]

สุดคะเนหน้าร้อนผ่าว The Moon หรือพระจันทร์คนนี้มักมีคำพูดกระทบใจ...
โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งแสนซื่อ กล้าไว้ใจคนแปลกหน้า
หรือว่า...คนอื่นไว้ใจได้ เว้นแต่...



“ทำอะไรอยู่คะพี่คะเน!”
กระต่ายร่าเริง กระโดดขึ้นบันไดแทบไม่พัก แก้มสีชมพูจัดเมื่อยืนหน้าห้องหมายเลข 8

“เหนื่อยจังเลยค่ะ วันนี้รถเมล์แน้นแน่น หิวน้ำจัง...”
ขายาวๆ เตรียมก้าวเข้าข้างใน

แต่เจ้าของห้องลุกขึ้นเสียก่อน พูดเสียงเรียบ
“เค็นกลับมาแล้วนี่คะ”

กระต่ายหน้าเผือดไปทันที ตาเปล่งปลั่งสลดวูบเหมือนดาวตก พูดเสียงเบา
“ยุ่งอยู่หรือคะ”

“ค่ะ”

เด็กผมเปียพูดไม่ออก ตาเหลือบเห็นจดหมายบนโต๊ะ
“เอ๊ะ! จดหมายใครกันคะ มีมาบ๊อยบ่อย”

สุดคะเนเก็บทันที แต่กระต่ายมือเร็ว คว้ามาได้แผ่นหนึ่ง อ่านออกเสียงดังๆ
“...ไม่รู้ทำไมเล่าให้สุดคะเนฟัง อ่านจดหมายของเธอแล้วความคิดเพริดไปไหนต่อไหน
บางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกันสักนิด ฉันก็เป็นอย่างนี้ บางคน (หลายคน)
บอกว่าฉันเป็นคนเข้าใจยาก เป็นพวกซับซ้อนซ่อนเงื่อน
(ฉันชอบอกาธา คริสตี้จัง...เธอชอบไหม) เป็นพวกสับสนกับวันเวลา
บางทีดูอะไรอยู่ ฉันก็พูดเรื่องที่มันไกลแสนไกลจากสิ่งที่กำลังดู
ฮื้อ...ช่างเถอะ ใครจะไม่เข้าใจ
คะเนฝากความคิดถึงมากับแสงดาว...
ดูสิ ฉันรีบออกไปแหงนดูฟ้าจนเมื่อยคอก็ยังไม่เห็นสักดวง...”

กระต่ายมีสายตาแบบนั้นด้วยหรือ?
สุดคะเนเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อเสียงอ่านจดหมายหยุดลง
อยากทุบหัวตัวเองอีกสิบรอบที่เผลอไปกับเนื้อความเช่นกัน...

“...คิดถึง...”

กระต่ายเสียงเบามาก นั่นใช่น้ำตาหรือเปล่า?
หรือเป็นเงาสะท้อนของแดด?

“เค้าเป็นใครหรือคะ...ไม่ใช่คนที่เคยมาใช่มั้ย”

“อย่ายุ่ง! เรื่องของพี่”

มีเสียงเล็กๆ อีกแล้ว พูดอะไรจับความไม่ได้ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง

...คนเราทำร้ายกันด้วยเหตุใด...

สุดคะเนหันรีหันขวาง ตะเพิดไล่
“ไปได้แล้ว! วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก ห้ามยุ่งของๆ พี่!”

มือกระชากจดหมายกลับ พับลงซองอย่างทนุถนอม
กระต่ายยังเบิ่งตากว้าง ก่อนน้ำตาจะไหลช้าๆ ไร้เสียง

สุดคะเนประตูปิดดังปัง!



ไม่เห็นพระจันทร์เลยคืนนี้
นาฬิกาบอกเวลาไม่ถึงสี่ทุ่ม แต่เหมือนเงียบและมืดกว่าทุกวัน
สุดคะเนยังไม่ได้อาบน้ำเลย พิมพ์ดีดบรรจุกระดาษว่างเปล่า
อีกหลายแผ่นถูกขยำเกลื่อนพื้น
ถอนใจ ดึงสีนวลจดหมายจากซอง


[…แต่ที่นี่ คืนนี้เมฆเต็มฟ้าเทียวจ้ะ
สงสัยความคิดถึงของเธอคงต้องทำงานหนักสักหน่อยละจึงจะฝ่าเมฆหมอกลงมาได้
แต่คงไม่ยากหรอก เพราะดูท่าทางมันจะแข็งแรงดีอยู่ (มีรูปก้อมเมฆยิ้มแฉ่ง)

...อยากฟังเพลง...ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีแง่งาม …
ของใครกันหรือจ๊ะ ความจริงฉันรักเพลงลูกทุ่ง โก่งคอร้องอยู่บ่อยๆ
ชอบเพลง...หอมเอยหอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง ...
หรือไม่ก็...ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำระงมไปทั่วท้องนา ...
อีกเพลงน่ารักเชียว เคยได้ยินมั้ยที่ร้องว่า...เกิดในนาป่าดอน แขนไม่อ่อนเหมือนสาวกรุง
หน้าไม่เคยแต่งปรุง งานในท้องทุ่งมีทั้งวัน ปากไม่แดงช่างมัน ฉันเป็นสาวภูธร ...
ฟังแล้วหลงรักสาวชนบทน่าดู
ฉันว่าเพลงลูกทุ่งมีกลิ่นอายของชีวิต มีความรู้สึก และมีอารมณ์ละมุน
ซื่อและจริงใจ หรือเธอว่าไงจ๊ะ เธอชอบหรือเปล่า...]

เพลงลูกทุ่งงั้นหรือ...
สุดคะเนนึกถึงเพลงที่เคยฟังตอนเด็กๆ เพลงหนึ่ง
...โลกหมุนให้เราพบกันชั่วครู่ชั่วคราว แต่เราไม่มีกุศล...
จำได้ลางๆ ว่า เคยยืนในแสงแดดอุ่นฟังเพลงของนักร้องคนนี้ที่กังวานไปครึ่งหมู่บ้าน
ทั้งที่ดังมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กๆ เพราะใครที่ได้ยินก็มักจะร้องตาม...

The Moon ทำให้หวนคิดถึงอดีตที่ล่วงไปแล้ว...อีกแล้ว



ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบาๆ แต่แล้วหยุดไป
สุดคะเนชะงัก เงี่ยหูฟัง แต่ก็เงียบนานเหลือเกิน
จนกระทั่งได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ หน้าห้อง
...เสียงฝีเท้าเดินออกไป

“กระต่าย...!”
ลุกพรวดไปเปิดประตู เด็กผมเปียหันมา
ในความสลัวยังเห็นดวงตาแดงช้ำ ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยหรือไง?

“เค็นล่ะ” ถามอะไรไม่รู้ แต่กระต่ายก็ตอบ

“ออกไปข้างนอกแล้ว ทะเลาะกัน”

“เด็กโง่”
สุดคะเนว่า แต่แล้วก็ดึงข้อมือคนเจ้าน้ำตาเข้ามาในห้อง

“เข้ามาก่อน เดี๋ยวใครเห็นเข้าจะไม่ดี”

“ไม่เห็นเป็นไร” กระต่ายดึงมือกลับ

“ไม่เคยร้องไห้กันบ้างหรือไง ยุ่งสิจะด่าเข้าให้”

“ยังปากดีอยู่อีก” เช็ดน้ำตาให้

“ดูสิ เลอะเทอะเป็นแมวแล้ว ร้องไห้น่ะไม่แปลกหรอก แต่คนจะสงสัยว่าเพราะอะไร”
พูดจบก็นิ่งไปเอง

“ช่างเถอะ”
ใจส่วนไหนกันหรือที่อ่อนเป็นผืนดินโดนน้ำ
หรือกุหลาบเมาะลำเลิงที่หน้าห้องเหี่ยวเฉาให้เห็น จึงเห็นใจ

“ดึกแล้วนะ ยังไม่อาบน้ำอีก อยู่ชุดเดิมแบบนี้ไม่เหม็นตัวเองหรือไง”
ปากพูด มือเสยผมที่ระปิดแก้ม กระต่ายตัวสูงแข็งขืน
แต่หัวใจก็แบ่งเป็นสองฟากเหมือนกัน ฝั่งหนึ่งบอกให้ไป...รีบๆ ไปเสีย
อีกฝั่งรั้งว่าอยู่ก่อนเถอะนะ...เค้าอุตส่าห์ดีด้วย

“ผมก็ยาว แห้งช้า ระวังจะเป็นหวัด”

สายตากระต่ายมองไป
จดหมายฉบับเดิมอยู่นอกซองเหมือนเดิม...ยังวางข้างโต๊ะทำงาน

สุดคะเนมองตาม ผลักกระต่ายออกห่างจนเด็กน้อยหน้าเสียอีกครั้ง
มือสีน้ำตาลเก็บจดหมายเข้าซอง พูดเรียบๆ โดยไม่หันมาสักนิด



“กลับไปอาบน้ำก่อนมั้ย หรือจะอาบที่นี่...ให้พี่อาบให้?”

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1379 วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2550