20 December 2006

09 ลืม

กระต่ายมีความสุขมากจริงๆ
เด็กน้อยร่าเริง เดินไกวแขนพลางพูดเสียงแจ๋วๆ ไม่หยุด
สุดคะเนอดขำไม่ได้ เอ็นดูแกมอ่อนใจ ได้แต่ยิ้ม เดินตามเงียบๆ

ผ่านตลาดสด (กระต่ายพาลงเร็วตั้งป้ายนึง)เด็กผมเปียรีบบอก
“รอแป้บนะคะ กระต่ายซื้อของก่อน”

“อะไรหรือคะ”

“น่า แป้บเดียว”
เด็กกระต่ายวิ่งเข้าไปใต้หลังคามัวๆ ที่จริงถ้าเข้าข้างในก็จะสว่างไสวด้วยแสงนีออน
ไม่ถึงห้านาทีก็กลับออกมาพร้อมถุงผัก

“กระต่ายชอบแผงเจ๊เฮี้ยงจัง ซื้ออะไรก็แถม ดูสิ บอกว่าเอานิดเดียวๆยังให้มาตั้งเยอะ”
หนูน้อยอวดผักเขียวๆ หลายชนิดในถุง

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะฮึ”

“...เดี๋ยวจะทำอะไรให้ชิม”

“ไข่เจียวเหรอ” สุดคะเนยิ้ม
“ซื้อแกงถุงก็ได้นะ ข้ามไปฝั่งโน้น หรือจะเลยไปในซอยพระครูก็ได้ อยากกินอะไรล่ะ”

“ไม่เอา” กระต่ายส่ายหน้า “วันนี้จะโชว์ฝีมือ”

ถึงห้องพัก
กระต่ายรีบไขเข้าห้องตัวเอง
พลางบอกว่าเดี๋ยวจะยก “เตา” ไปปรุงที่ห้องโน้น
ห้ามก็ไม่ฟัง สุดคะเนเบื่อจนขำ

“เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ออกมาไม่ดีพี่พูดตามตรงนะ”

“เจ้าค่ะ”
แล้วผลุบหายไปอย่างรวดเร็ว

สุดคะเนเปิดเข้าห้องตัวเอง
ก่อนขึ้นชั้นบนมีจดหมายมาถึง 2 ฉบับ
จากพี่ดาวและ The Moon

อย่างลังเล...สุดคะเนหยิบจดหมายพี่ดาวขึ้น

แต่แล้วก็วางลง

...เปิดจดหมายของพระจันทร์


[วันที่ดวงตะวันยังยิ้มอุ่น / สุดคะเนจ๊ะ

ความฝันของเธอน่ารักนะ
ชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ นั่นแหละที่ฉันเชื่อว่าเหมาะสมกับมนุษย์
ความทะเยอทะยานแท้จริงแล้วก็ไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าความรุ่มร้อน
และรีบเร่งไปข้างหน้า จนลืมรายละเอียดของชีวิตที่มักกระเซ็นอยู่ข้างทาง
ชีวิตจึงขาดความละมุนละไมไปอย่างน่าเสียดาย

คะเนทำได้แน่ ฉันเชื่อ จะเอาใจช่วยให้เก็บเงินปลูกบ้านได้เร็วๆ...
อย่าลืมชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวก็แล้วกันนะจ๊ะ

อยากฟังเรื่องบ้านริมคลอง เล่าให้ฟังบ้างสิ
คงมีเรื่องเก่าๆ ที่สวยงามฝังใจอยู่มากมายใช่ไหม
เพราะคิดว่าคะเนเป็นคนรักบ้านนะสิ

หน้าบ้านหลังเก่าของฉันก็มีสระใหญ่ ดอกบัวสะพรั่ง
ยังจำได้ว่ามีกุ้งฝอยดีดตัวขึ้นมาค้างบนใบบัว
งงอยู่พักเดียวก็ดีดตัวกลับลงน้ำใหม่

ฝูงปลาเข็มชอบว่ายมาเที่ยวริมตลิ่ง
ลุงบ้านข้างๆ ชอบมาวางเบ็ดราว ได้ปลาช่อน ปลาหมอ ไปแกงเป็นประจำ

ตอนเล็กๆ ฉันจะคาดข้าวใส่ชามถือร่อนไปร่อนมาอยู่แถวสระน้ำ
เป็นชั่วโมงกว่าจะกินหมด จนแม่ต้องตะโกนดุมาจากบ้าน
เดี๋ยวนี้กลับไปดู สระน้ำถูกถมหมดแล้ว เขาใช้ที่สร้างเป็นสถานที่ราชการ
ต้นก้ามปูใหญ่กับต้นสักที่ยืนให้ร่มครึ้มก็พลอยหายไปด้วย
เห็นครั้งแรกฉันยืนงง นึกว่าไปดูผิดที่

เดินเลยบ้านเก่าไปถึงริมแม่น้ำที่เคยขี่จักรยานมาดูตะวันตกดิน
ก็มีแพร้านอาหารจอดอยู่ มีเก้าอี้นั่งใต้ร่มดอกเห็ด ฝาขวดเหล้าเบียร์เกลื่อนพื้น
ฝั่งตรงข้ามที่เคยเป็นสวนผักของชาวบ้านดูเขียวสดไปทั้งแถบ
ก็มีโรงงานน้ำอัดลมมาตั้งแทน

สะพานข้ามแม่น้ำยังอยู่ แต่ก็เก่าแสนเก่า

เหมือนผู้เฒ่าที่ยืนมองความเป็นไปของลูกหลาน แล้วถอนใจ เหนื่อยหน่ายชีวิต

เคยรู้สึกโกรธ แต่ไม่รู้จะโกรธใครหรืออะไร หรือเปล่า...

ฉันรู้สึกเหมือนสมบัติของตัวเองถูกทำลาย แต่ไม่รู้จะไปเรียกร้องเอากับใครที่ไหน
ได้แต่หันหลังด้วยความเศร้าใจอย่างมากมาย ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง...]


“มาแล้วจ้า”
เด็กกระต่ายหอบของเต็มสองแขนโผล่มา

สุดคะเนรีบลุก เก็บจดหมายที่ยังอ่านไม่จบ วางบนโต๊ะเขียนหนังสือ

“เอาอะไรมาเยอะแยะ”

“ไม่เห็นเยอะเลย ก็มีกระทะไฟฟ้า เครื่องปรุง น้ำพริกแกงตำมาเรียบร้อยค่ะ”
กระต่ายคล่องแคล่ว สุดคะเนเข้าช่วยรับของ
ไม่นานนัก ทั้งสองก็นั่งจ้องหม้อแกงที่เดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมแปลกจมูก

“แกงอะไรคะ แปลกดี ไม่เคยกินมาก่อน”

“ฟะคะเนกู่” กระต่ายตอบ

“มีคำว่าคะเนด้วยนะเนี่ย…เป็นแกงมอญค่ะ
จริงๆ แล้วเค้าใส่ปลาย่างนะ แต่เค็นเคยประยุกต์ใช้ปลากระป๋องแทน”
กระต่ายอธิบาย พลางคนแกงไปมา
“ทำง่ายค่ะ ใส่น้ำพริกแกง ใส่ผัก แต่ที่ขาดไม่ได้คือใบกระเจี๊ยบอ่อน”

“หอมดีนะ”
สุดคะเนมองหน้าเด็กผมเปีย คงหมั่นชะโงกมากไป ถูกไอร้อนจนแก้มแดงเชียว

“ไหนเค็นว่ากระต่ายทำอะไรไม่เป็น ทำกับข้าวได้นี่”

“ถ้าเค็นอยู่ เรื่องอะไรกระต่ายจะทำ”

“อ้าว เจ้าเล่ห์นี่เรา” สุดคะเนยื่นมือไปยีผม

กระต่ายทำหน้าตะลึงอีกแล้ว ปล่อยช้อนตกลงในน้ำแกง
เผลอจุ่มมือคว้าตาม พลาดโดนขอบกะทะร้อนๆ

“โอ้ย!”

สุดคะเนหัวเราะเสียงดัง
“โธ่เอ๊ย! เด็กซุ่มซ่าม มานี่มา”

ขยับนิดเดียวก็อ้อมถึง ดึงมือข้างที่โดนความร้อนจนเป็นสีชมพูขึ้นเป่า
กระต่ายเบิกตากว้าง ดึงแขนกลับแต่สุดคะเนรั้งไว้

“เพี้ยง! หายนะ”

กระต่ายตัวแดง เหมือนถูกฉีดน้ำหวานเข้าในกระแสเลือด
มีความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนไหลเวียนแล่นพล่าน

สุดคะเนไม่คิดอะไร เห็นหน้าแหยๆ คิดเอาว่าคงแสบร้อนไม่หาย
เป่าซ้ำอีกที ลมอุ่นๆ เลาะไล้ไปบนผิวเนื้ออ่อนนุ่ม หัวใจกระต่ายแทบหยุดเต้น

“ดูทำหน้าเข้า!” สุดคะเนหัวเราะ
“ขวัญเอย ขวัญมา นี่แหละพระเจ้าไม่เข้าข้างคนเจ้าเล่ห์”

อาหารมื้อนั้นรสชาติดีทีเดียว
นอกจาก ‘ฟะคะเนกู่’ แล้วก็มีไข่เจียวอีกอย่าง
สุดคะเนเอ่ยชมไปหลายครั้ง กระต่ายแก้มแดงปลั่ง แต่เงียบกว่าเคย
จนเมื่ออิ่มแล้ว สุดคะเนรวบช้อมส้อม จิบน้ำ เหลือบตาดูเด็กข้างหน้าอย่างแปลกใจ

“ยังเจ็บอยู่เหรอ” ทำท่าจะลุกขึ้น “เอ ดูเหมือนพี่จะมียานะ”

“มะ...ไม่ต้องค่ะ”
กระต่ายรีบห้าม ใจเต้นตึกตัก จะบอกได้ยังไงว่ามีอะไรแปลกๆ
...เกิดในความรู้สึก...รุนแรงกว่าเคยเป็น

“งั้นดูอีกทีสิคะ”
สุดคะเนยื่นมือข้ามจานข้าว

“ทำไมตัวร้อนจัง กระต่าย”
คราวนี้ไม่แค่เป่าเบาๆ แต่จุ๊บบนปลายนิ้ว
และ...กระต่ายรู้สึกไปเองหรือเปล่า ริมฝีปากพี่คะเน...

“โอย...”

“เป็นอะไรคะ”

กระต่ายดึงมือกลับแทบหงายหลัง
หน้าร้อน ตัวร้อน เหมือนมีไฟวูบวาบเผาจากปลายนิ้วไปถึงไหนๆ
สุดคะเนเสียหลักตามไปด้วย แทบล้มทับโต๊ะอาหาร
กระต่ายหัวใจจะระเบิด สบตาดำเข้มที่ไม่เข้าใจอะไรสักนิด
ขณะนั้นเอง เค็นก็โผล่มาข้างหน้าต่าง

“จ๊ะเอ๋!”

กระต่ายเด้งตัวออกทันควัน

“ไอ้เค็นบ้า!”

“อ้าว!” เค็นร้อง งง “อะไรกันกระต่าย เจอหน้าก็ด่าเลยเหรอ...แล้วนั่นทำอะไรกันอะ”

“เรื่องของเค้า อย่ายุ่ง!”


เค็นเกาหัวแกรกๆ เมื่อสุดคะเนเปิดประตูห้องให้

“เป็นอะไรของเค้า”
บุ้ยบ้ายไปทางเด็กที่วิ่งเข้าห้องตัวเองไปแล้ว

“ทำกับข้าวแล้วมือพลาดไปโดนกะทะน่ะ” สุดคะเนบอก
“ดูท่าจะเจ็บมาก พี่เลยเป่าคาถาให้”

เค็นมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกๆ เห็นชายเสื้อของสุดคะเนเปื้อนน้ำแกงด้วย

“เค็นกินอะไรมาหรือยัง วันนี้กระต่ายทำกับข้าวนะ แกงยังมีเต็มหม้อเลย”

เค็นสูดจมูกฟุดฟิด “แกงอะไร...กลิ่นคุ้นๆ”

“ชื่อแกงอะไรน้า...มีคำว่าคะเนด้วย”

“ฟะคะเนกู่!” เค็นเบิกตากว้างกว่าเดิม “กระต่ายนะเหรอทำแกงนี้!”

“ทำไมล่ะ” สุดคะเนแปลกใจบ้าง

“เป็นอาหารมอญฮะ แต่กระต่ายไม่เคยยอมรับสักทีว่าตัวเองมีเชื้อมอญ
ปกติทำให้กินยังไม่ค่อยจะยอมกิน นี่ลงมือทำเอง...”
เค็นมองหน้าสุดคะเนอย่างครุ่นคิด

“สงสัยจะกระต่ายจะชอบคะเนมากๆ แล้วล่ะ ระวังตัวหน่อยก็ดีนะ”

“หือ?”

“ถึงกับลงมือทำอาหารที่ตัวเองเกลียด
แสดงว่าอยากสร้างความประทับใจมากๆ คะเน...”
เค็นมีสีหน้าจริงจัง

“ถ้าไม่คิดอะไรกับกระต่าย ก็อย่าทำให้มันหวังไปเรื่อยเปื่อยเลยนะ”

เค็นกลับห้องไปอีกคนแล้ว แต่สุดคะเนยังยืนที่เดิม
‘ถ้าไม่คิดอะไรกับกระต่าย ก็อย่าทำให้มันหวังไปเรื่อยเปื่อย....’
จะบ้าหรือ! เด็กคนนั้นอายุแค่ 17 เท่านั้น!


สุดคะเนลืมไปแล้วว่า เมื่ออายุเท่ากระต่าย เธอเคยมีประสบการณ์ชีวิตอย่างไร



ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1374 วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2549

12 December 2006

08 ในอุ้งมือ

สุดคะเนลงรถหน้าวิทยาลัย
รั้วสีแดงเหยียดยาวขนาบถนน
บนฟุตปาธมีร้านขายของเป็นรถเข็นคันเล็กคันน้อย
ลูกชิ้นปิ้งกับน้ำอัดลมดูจะขายดีเป็นพิเศษ
เด็กหนุ่มสาวในชุดนักเรียนนักศึกษาเดินสวนไปมา

เด็กสาวเสยผมตัวเองอย่างเก้กัง
ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี มีสถาบันการศึกษาสองแห่งบนถนนสายนี้
ดูเหมือนจะมีประตูเชื่อมต่อกันด้วย แต่เค็นกับกระต่ายเรียนตึกไหนกันล่ะ?

เค็นเคยบอกว่าเรียนอยู่ปี 1 เอ๊ะ? หรือปีสอง
ส่วนกระต่ายอยู่ชั้นมัธยม ม.อะไรล่ะ? เป็นโรงเรียนสาธิตใช่ไหม?

สุดคะเนเพิ่งนึกได้ว่า เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเพื่อนข้างห้อง
มากไปกว่าทักทายกันผ่านๆ
มีแต่ช่วงหลังนี้เองที่กระต่ายเข้ามาผูกสัมพันธ์มากขึ้น



อดนึกถึงจดหมายอีกฉบับของ The Moon ไม่ได้


[พฤศจิกายน / นนทบุรี / วันที่ดวงตะวันยิ้มอุ่นๆ ให้ลมหนาว

ฉันเพิ่งแบกเป้อันหนักอึ้งกลับมาจากจังหวัดปราจีนบุรี
หนีความเป็นพิษของเมืองไปได้สิบวันเต็มๆ ไปอยู่กับทุ่งนาป่าเขา
อยู่กับเด็กมอมๆ ในหมู่บ้าน

ที่โน่นพูดภาษาอีสานด้วยนะจ๊ะคะเน ทั้งๆ ที่อยู่ภาคตะวันออก
ข้าวกำลังตั้งท้องพอดี ดีใจที่ได้เห็นทุ่งสีเขียว
บางบ้านมีอาชีพเสริมคือทำหมวก ทำขนมจีน ทำปอ
ไปช่วยเขาลอกปอมาด้วย รู้สึกเหมือนกลิ่นปอยังไม่จางไปจากตัวเลยนะนี่

ไม่อยากกลับมาเลย ถ้าไม่นึกถึงหน้าที่ (หน้าที่อีกแล้ว คำนี้มีอิทธิพลนักละ)
ใช้วันลากิจไปหมดเกลี้ยงเลย นั่งรถไฟกลับมา
แค่มองเห็นปั้นจั่นและเครนบนยอดโครงตึกสูงระฟ้า ฉันก็แทบจะหันหลังกลับ

ลากสังขารอันอ่อนระโหยกลับมาถึงบ้าน ก็ได้พบจดหมายของเธอรออยู่...

เป้ถูกเหวี่ยงกลิ้งไปไหนไม่รู้แล้ว
(มันคงน้อยใจเหมือนกัน อุตส่าห์เป็นเพื่อนมาตั้งนาน)
เพราะฉันมัวแต่ตื่นเต้น จดหมายตอบจากเธอ
ทำให้ฉันรู้สึกดีใจเป็นครั้งแรกของการตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ

ตอนนี้ยังยิ้มไม่หุบเลยรู้ไหม...
ขอบคุณมาก ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าที่นี่ยังมีน้ำใจและความอบอุ่นอ่อนโยนแฝงอยู่
ไม่ได้ถูกกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชนหน้าตาเฉยเมยที่เดินสวนกันไปมาบนท้องถนน

ทำไมเขาไม่ค่อยยิ้มกันนะ ของที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อแท้ๆ...
ตอนนี้คะเนกำลังยิ้มอยู่หรือเปล่านะนี่
ลืมความเศร้าที่มีมากมายนั้นบ้างเถอะนะ
ชั่วครู่ก็ยังดี ให้รอยยิ้มได้ทำหน้าที่ของมันบ้าง



...เราต้องยิ้มบ้างสักนิด

หัวเราะบ้างสักหน่อย

ร้องไห้บ้างสักเล็กน้อย

เพื่อความแช่มช้อยของชีวิต...]



สุดคะเนเผลอยิ้มนิดๆ The Moon
เป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งจริงๆ ไม่กี่บรรทัดก็ทำให้คิดต่อไปได้มากมาย
ทั้งเรื่องสุข เรื่องเศร้า ความงาม ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต
หรือการตั้งข้อสังเกตกับผู้คนรอบตัว

จริงสินะ เมื่อเดินสวนใครๆ บนถนน
การที่จะยิ้มให้คนแปลกหน้าคงเป็นเรื่องบ้าสิ้นดี
แม้แต่คนใกล้ห้องติดกัน ยังแทบไม่รู้จักกัน



แต่นั่นเค็นนี่? สุดคะเนเหลือบตาเห็นเด็กหนุ่มผิวขาว
เดินคู่เด็กหนุ่มตัวสูงอีกคน แต่เหมือนเค็นไม่อาจเห็นใครเลย นอกจากเพื่อนคนนั้น


"พี่คะเน!"

เด็กกระต่ายโผล่มาด้วยใบหน้าร่าเริง ยิ้มกว้างแทบฉีกถึงหู ตามีประกายวิบวับ

"พี่คะเนมาทำอะไรแถวนี้...โอ้ย! ดีใจจัง!!"
เด็กผมเปียกระโดดเข้ากอดแขน เอียงแก้มแนบไหล่จนสุดคะเนหน้าแดง

"มารับกระต่ายเหรอ"

"เอ้อ...ไม่ใช่" รีบปฏิเสธเมื่อเห็นสายตาคาดหวัง
"พี่ผ่านมาแถวนี้...เอ่อ พี่ต่อรถผิดน่ะ"

กระต่ายไม่สนใจ ควงแขนอย่างสนิทสนม
ทั้งใบหน้า แววตา น้ำเสียง บอกความรื่นรมย์สุดชีวิต

"ดีใจจัง ขอบคุณความผิดพลาดในชีวิต
...แล้วพี่คะเนจะไปไหนต่อคะ ไปกินไอติมกันมั้ย"

"ตะกี้พี่เห็นเค็นนะคะ"
สุดคะเนนึกได้ เหลียวหาพี่ชายของเด็กที่พัวพันข้างตัว

"ช่างเค็นปะไร" กระต่ายย่นจมูก
"กำลังเห่อเพื่อนใหม่ เห็นว่าหล่อนักนี่ แต่กระต่ายยังไม่เห็น เห็นก็ดีสิ จะได้เอาคืนมั่ง"

"คืออะไร? เอาอะไรคืน"

"ไม่รู้" กระต่ายตัดบทดื้อๆ
"อย่าสนใจเค็นเลย เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า พี่คะเนคนดีขา ร้านข้าวอร่อยๆ ก็มีนะคะ"

"พี่วางตะกร้าไว้ให้หน้าห้อง ได้แล้วใช่ไหมคะ"

กระต่ายมีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหน่อย พูดแบบไม่เต็มใจ
"ค่ะ ขอบคุณมาก...พี่คะเน...ไปหาอะไรกินกันดีกว่า กระต่ายหิวแล้ว"

สุดคะเนถอนใจ ขณะถูกฉุดมือเดินห่างจากที่เดิม
มีหลายอย่างที่นึกจะพูด จะถาม แต่ก็ไม่รู้ควรเริ่มตรงไหนดี
อีกไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไร ทำให้ตัดสินใจลงรถ...ที่นี่



[วันนี้โรงเรียนเปิดเทอม
(อิจฉาเด็กอีกแล้ว มีปิดเทอม เปิดเทอมให้ได้ตื่นเต้น)
เสียงแม่บอกว่าต้องรีบไปทำงานแต่มืดเพราะรถต้องติดแน่ๆ
เฮ้อ...คราวนี้ถอนใจเพราะสงสารเด็กเมืองกรุง

สมัยก่อนที่อยู่ต่างจังหวัด
เราเดินไปโรงเรียนกันกลางแดดอุ่นๆ แวะดูดอกไม้
จับตั๊กแตนข้างทาง ไปถึงก็ยังเช้าอยู่มาก
มีเวลาให้เล่นหมากเก็บ กระโดดยางตั้งหลายตา กว่าระฆังจะดังให้เข้าแถว

เดี๋ยวนี้ฉันเห็นเด็กแบกกระเป๋ายืนเกาะโงนเงนบนรถประจำทาง
ที่มีฐานะหน่อยก็นั่งกินข้าวเช้าในรถยนต์ที่ค่อยๆ เคลื่อนทีละคืบ
บางคนนั่งหลับในรถโรงเรียนเพราะต้องตื่นเช้าเกินไป อากาศยามเช้ามีแต่ควันพิษ

เชื่อไหมว่าบางครั้งฉันอยากหยุดหายใจ
เมื่อคิดว่า อากาศสีเทาๆ นั่นหรือที่ผ่านเข้าออกในร่างกายของเรา...]



"ไปรถเมล์หรือจะนั่งแท็กซี่ดีน้า..."

เด็กกระต่ายรื่นเริง สุดคะเนขมวดคิ้ว

รถเมล์แล่นผ่านหน้า คนแออัดเบียดเสียด

"ทำไม? ร้านอยู่ไกลนักหรือ ถ้าไม่มากเดินไปก็ได้นะ"

"กระต่ายกลัวพี่คะเนเหนื่อย...ไปแท็กซี่ก็ได้นะ กระต่ายจ่ายเอง"

สุดคะเนหยุดเดิน มองหน้าเด็กผมเปียอย่างจริงจัง

"กระต่าย ไม่ต้องห่วงพี่..."
ในใจนึกถึงใบหน้าคล้ำหมองของหญิงวัยกลางคนที่หอบของมาฝากลูก
"กระต่ายเองก็ยังต้องใช้เงินพ่อแม่ อย่าฟุ่มเฟือยกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง"

"โห แค่นี้เองต้องดุด้วย"
เด็กน้อยหน้าหมอง แต่แป๊บเดียวก็ยิ้มกว้างเหมือนเคย
"พี่คะเนเท่ที่สุดเลย กระต่ายชอบม้ากมาก คนแบบนี้แหละที่กระต่าย...ชอบ"

สุดคะเนส่ายหน้า สบตาใสแจ๋วก็ใจอ่อนอีกทุกที
ไม่สนใจคำตามท้ายที่แผ่วเบา ปากพูดไปว่า

"งั้นไม่ต้องกินอะไรข้างนอกหรอก กลับไปกินข้าวบ้านดีกว่า
เผื่อมีการบ้านอะไรจะได้รีบทำไม่เสียเวลา"


"เย้!" กระต่ายร้องลั่น "วันนี้เป็นวันของเรา...ดีใจจัง"



[คะเนอยู่บ้านคนเดียวสินะ...
เหงาไหม สมัยเรียนหนังสือฉันก็อยู่หอพักคนเดียวมาตลอด
เข้ากรุงใหม่ๆ ต้องอยู่กับญาติ แต่อาศัยเขาอยู่ก็มีเรื่องร้อนหูมาให้คับใจหลายอย่าง

ตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียวไม่รบกวนเขา ก็ยังไม่วายถูกกระทบกระแทก...
ฉันต้องหางานพิเศษทำเพื่อจ่ายค่าหอพักนะ
เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินพอสำหรับส่วนนี้หรอก บางวันฉันไม่มีเงินสักบาท
นั่งชะเง้อคอยธนาณัติ ร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง เพราะรู้ว่าเงินในครอบครัวหายไปไหนหมด

แต่ป่วยการที่จะกล่าวโทษพ่อแม่
ความต้องการในชีวิตของแต่ละคนต่างกัน
มันเป็นเรื่องนานมาแล้ว เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
และฉันก็คงเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่มานั่งฟูมฟายโกรธแค้นการกระทำของเขา
เหมือนสมัยยังเด็ก

นอกจากพยายามทำความเข้าใจ...]



"เอ้อ...เห็นแม่ของกระต่ายบอกว่า ชอบกินกะละแมเหรอ"
สุดคะเนถามขึ้นเรียบๆ แต่กระต่ายหน้าบึ้งทันที

"แม่เล่าอะไรให้พี่คะเนฟังอีกล่ะ!"

"เปล่านี่" สุดคะเนแปลกใจกับปฏิกิริยานั้นมาก
"ทำไม? ดูเหมือนกระต่ายจะ...เอ้อ...ไม่ค่อยพูดถึงแม่นะ"

"กระต่ายไม่อยากคุยเรื่องนี้"
เด็กผมเปียแข็งขืนกว่าที่เคยเป็น
แต่สุดคะเนเริ่มมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง เหมือนผนังที่แตกร้าว
และมีร่องรอยการแตกกะเทาะจากภายใน

"ก็ได้..." เด็กสาวจึงทอดเสียงนุ่มนวลลง
"วันไหนกระต่ายอยากเล่าให้พี่ฟังก็ยินดีนะ"

กระต่ายตัวแข็งเหมือนคิดไม่ถึง ทั้งๆ ที่ก็เป็นแค่คำพูดธรรมดา
มือที่กอดแขนสุดคะเนสั่นจนรู้สึกได้ เด็กสาวผมสั้นจึงเลื่อนมือไปจับมือเล็กเอาไว้

ระหว่างเดินจูงมือไปตามฟุตบาธที่มีแต่เสียงเครื่องยนต์คำราม
อีกไม่กี่ก้าวจะถึงป้ายรถเมล์ ต่างคนต่างเงียบงันกับความคิดคำนึงส่วนตัว

แต่ขณะที่กระต่ายเอาหัวใจทั้งหมดจดจ่อกับความอุ่นจากอุ้งมือรุ่นพี่
สุดคะเนคิดถึงจดหมายจากพระจันทร์



[ดีใจที่คะเนเล่าถึงห้องเช่าเล็กๆ...
ฉันพอจะนึกภาพออก อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก
แต่ก็คงเป็นโลกใบเล็กๆ ที่อบอุ่นน่าดู รู้จักนกเล็กๆ
ที่ร้องเพลงให้ฟังทุกตัวหรือเปล่า

เพลงอะไรเอ่ย...ที่ร้องว่า...
ตื่นเสียที ตื่นซะที้...
ใช่ไหมจ๊ะ เพราะแถวๆ บ้านของฉัน นกร้องเพลงคล้ายๆ แบบนี้แหละ
บางทีก็คุยกันเสียงจ๊อกแจ๊ก
กินอะไรดี๊...
กินนั่นสิจ๊ะ...
กินนี่สิจ๊ะ...
ชวนให้อยากเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยเสียจริง

อ้อ...บ้านที่ฉันเล่าว่าเลี้ยงนก ตอนนี้เขาไม่เลี้ยงแล้วนะ
แต่อย่าดีใจไป เพราะเขาหันมาเลี้ยงชะนีแทนจ้ะ
ร้องโหยหวนทุกเช้าจนฉันว่าจะไปแจ้งกองรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดูซะที...

คะเนว่าดีมั้ย...]




ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1373 วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2549

07 แค่มี

เช้านี้มีลมหนาวพัดมาบางๆ
เดือนตุลาคมกำลังมาถึง ฝนยังตกในภาคอื่นๆ
และกรุงเทพมหานครก็ยังมีน้ำท่วมขังเป็นแห่งๆ ไป

แถบจรัญสนิทวงศ์นั้น สะพานไม้ยังไม่ถูกรื้อถอน น้ำขึ้นลงเป็นเหตุการณ์ปกติ
สุดคะเนจึงหอบงานกลับมาทำที่บ้านบ่อยขึ้น
เด็กสาวยืมพิมพ์ดีดของออฟฟิศกลับมาด้วย
นอนดึก ตื่นเช้า เขียนงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างมีวินัย


ในช่วงนั้น จดหมายจาก The Moon ยังมีมาสม่ำเสมอ


[...เมื่อหลายปีก่อน ฉันทำงานกับชายหนุ่มคนหนึ่ง
เขาเป็นศิลปิน เป็นนักดนตรี เป็นนักเขียน เป็นอะไรๆ อีกหลายอย่าง
สำหรับฉัน เขาเป็นพี่ชายที่น่ารัก แล้วก็เป็นคนที่งานยุ่งเหยิง
เสียจนไม่มีเวลาพอที่จะหยิบจับทำอะไรเองได้หมด

ฉันเป็นคนเก็บกวาดงานที่กระจัดกระจายของเขาให้เข้าที่เข้าทาง
พบปะผู้คน(บางคน)แทนเขา พูดคุยโทรศัพท์แทน ตัดสินใจแทนในบางเรื่อง
และคอยตอบคำถามในตอนเช้าที่เขาตื่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้วว่า
วันนี้เขาต้องไปทำอะไรที่ไหนบ้าง...

ฉันเป็นคนเปิดจดหมายแทบทุกฉบับ (หลายร้อยฉบับ)
ที่มีมาถึงเขา จดหมายหลากสีหลายแบบ หนาบางต่างกัน
ฉันรู้สึกรักจดหมายเหล่านั้น...สำหรับเขา ฉันไม่รู้ได้...

ฉันเห็นภาพเด็กสาววัยสดใสหลายคน
ประดิดประดอยจดหมายแสนสวยถึงคนที่ชื่นชอบและศรัทธา
ฉันเห็นความตั้งใจ เห็นแววหวังในดวงตา
เมื่อเธอเหล่านั้นหย่อนจดหมายลงตู้ไปรษณีย์
ฉันอ่านจดหมายน่าเอ็นดูเหล่านั้นทุกฉบับที่ได้เปิด
ยิ้มและเศร้าไปกับเรื่องราวนานาที่พวกเธอเขียน

ฉันอยากให้เขาได้อ่านมันทั้งหมดเช่นกัน
แต่ว่า...ช่วงเวลาที่อยู่กับเขา มันนานพอที่ฉันจะรู้ว่า
เหตุผลแห่งหน้าที่ของฉัน ก็เนื่องมาจากเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดจดหมายนั่นเอง
ถ้าเป็นไปได้ และหากฉันมีค่าพอที่จะทดแทนได้ (ในตอนนั้นน่ะนะ)
ฉันก็อยากตอบจดหมายที่น่ารักเหล่านั้นแทนเขาเหลือเกิน

ฉันเล่าให้สุดคะเนฟังทำไมนะ
อ้อ...ฉันกำลังจะบอกว่า พบเธอครั้งแรกเมื่อไหร่นั่นเอง
ตอนนั้นฉันได้รับจุลสารใบตอง
(ที่ถูก ฉันน่าจะพูดว่าเขาได้รับต่างหาก ฉันมันแค่คนอ่านแทน)
ฉันหลงรักมันทันทีเลยรู้ไหม รักผลงานเล็กๆ ที่เกิดจากความตั้งใจของคนกลุ่มเล็กๆ
พวกเธอทำให้ฉันคิดถึงเพื่อนที่เคยร่วมกันทำความฝันคล้ายๆ กันนี้
สมัยที่เราทำงานในชนบท

ฉันจำชื่อ "สุดคะเน" และ "หวนคะนึง" ได้ตั้งแต่นั้น (ทั้งหมดคือเธอใช่ไหม)
ทำไมเธอถึงเลือกใช้ชื่อนี้
รู้ไหมฉันคิดอะไร ฉันคิดถึงการเดินทางแสวงหาสิ่งที่ชีวิตต้องการอย่างแท้จริง
ความลึกลับสุดหยั่งคะเนของชีวิตนี้ด้วย อีกทั้งความอาลัยอาวรณ์ในสิ่งล่วงไป...

...เธอเล่า รู้สึกอย่างไรกับชื่อของตัวเอง และเธอค้นพบสิ่งที่ตัวเองแสวงหาหรือยัง...]



สุดคะเนนอนบนเตียงเล็ก หนุนหมอนสองใบ
The Moon คนนี้ ช่างคิดช่างเขียนเหมือนกัน

[ฉันไม่ใช่นักกลอน ไม่ใช่คนเก่ง เป็นแค่คนเล็กๆ
ที่มีหนังสือเป็นเพื่อนบ้างในบางเวลา บอกตัวเองว่าชอบงานของ "หวนคะนึง"
แต่ฉันก็ไม่ได้ค้นหา หรือติดตามเพิ่มเติมให้มากกว่าที่ได้รู้ ได้เห็น
ฟังดู ฉันช่างเป็นคนที่ไม่จริงจัง เลื่อนลอยไร้สาระ...

ฉันรักท้องฟ้า แต่บางช่วงของชีวิต ฉันไม่เคยแหงนมองท้องฟ้า
รักภูเขา แต่ก็ไม่ดั้นด้นเดินทางไปดูภูเขา
ฉันรักฤดูหนาว แต่ก็ไม่ได้ชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่ฤดูหนาวจึงจะมา...

แต่เธอรู้ไหม ฉันรู้สึกได้ตลอดเวลาว่าฤดูหนาวเป็นอย่างไร
กลิ่นลมหนาวหอมแค่ไหน...
เมื่อเรารับอะไรสักอย่างเข้ามาอยู่ในอาณาจักรใจ มันจะอยู่ตรงนั้นเสมอ
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือโลกจะหมุนไปอย่างไร

เมื่อไรที่ฉันบังเอิญพบเห็นงานของเธอ
ฉันไม่เคยละเลยที่จะอ่าน
ด้วยความสุขใจว่า นี่คืองานอีกชิ้นอีกก้าวของเธอ
บางช่วงของชีวิตที่มีมรสุม ฉันไม่ได้พบเธอเป็นปีๆ
แต่ฉันก็รู้ว่าเธอยังอยู่ที่เดิม อยู่ตรงที่ที่ฉันชื่นชมเสมอมา...]



เสียงกุกกักดังหน้าระเบียง

สุดคะเนลดจดหมายลง เสียงคนเดินแล้วหยุด

ใครกัน?

ลุกไปแหวกม่านหน้าต่างดู



"มาหาใครคะ"
สุดคะเนเปิดประตูออกไป ผู้หญิงผอมบาง ใบหน้าหมองคล้ำ รีบวางของลง ยิ้มเจื่อนๆ

"ห้องนี้จ้ะ" ชี้ห้องที่ปิดอยู่

"อ๋อ..." สุดคะเนรีบยกมือไหว้ "กระต่ายกับเค็นยังไม่เลิกเรียนหรอกค่ะ"

"จ้ะ" ร่างผอมเกร็งรีบรับไหว้ "น้าเอาของมาไว้ให้เฉยๆ เดี๋ยวก็ไปแล้ว"

"จะรอมั้ยละคะ อยู่ห้องคะเนก่อนก็ได้"

"ไม่เป็นไรจ้ะ" คำปฏิเสธจริงจัง "ติดรถเขามา อยู่นานไม่ได้"
ตาฝ้าขุ่นดูครุ่นคิด ก่อนค่อยๆ เอ่ย
"เอ้อ...แล้วกระต่ายเป็นยังไงบ้าง..." สุดคะเนงงกับคำถาม

"ก็...สบายดีนี่คะ แข็งแรงดี แต่ถ้าเรื่องเรียน...ไม่รู้เหมือนกัน
ยังไงจะถามกับเค็นให้ค่ะ"

"จ้ะ ขอบใจมาก งั้นน้าไปก่อนนะ...หนูชื่ออะไรนะ"

"คะเนค่ะ"

"หนูคะเน..." ร่างผอมทวนคำ
"น้าฝากดูเค็นกับกระต่ายด้วยนะ อยู่ใกล้ๆ กัน
มีอะไรก็ตำหนิติเตียนได้เลย โดยเฉพาะกระต่ายน้าห่วงเขามาก..."
อย่างนึกได้ ผู้หญิงวัยกลางคนรื้อตะกร้า

"หนูแบ่งกะละแมไปกินด้วยนะ กวนมาใหม่ๆ...
กระต่ายน่ะชอบกิน แต่พอเกิดเรื่องก็ดื้อไม่เอาไปเสียทุกอย่าง
ถ้าชอบก็บอกเค็นไว้นะจ๊ะ จะเอามาให้อีก"

ร่างผอมเกร็งลงบันไดไปแล้ว สุดคะเนถือถุงขนมยืนงง
นี่คือแม่ของเค็นกับกระต่าย?
เธอเคยเห็นแว้บๆ แต่ไม่เคยคุยด้วย แปลกจัง มาหาลูกตอนที่รู้ว่าลูกไม่อยู่?

ตะกร้าหวายใบใหญ่วางโดดเดี่ยวหน้าห้องหมายเลข 7

...คนเรามักมีเหตุผลของตัวเอง สุดคะเนถอยหลังเข้าห้อง
แต่สายตายังเห็นร่างผอมคล้ำก่อนเลี้ยวหัวมุม เห็นสายตาที่เหลียวมองมา

สายตาของแม่...



กลับมาล้มตัวนอน อ่านจดหมายต่อ

[พรุ่งนี้เช้า ฉันต้องรีบตื่นไปทำงานอีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง
ย่านธุรกิจที่แออัดไปด้วยผู้คน...

คะเนชอบนั่งเรือไหมจ๊ะ...
ทุกวันฉันเลือกที่จะนั่งเรือไปในแม่น้ำสายเดียวกับที่ไหลมาจากบ้านเกิด
ฉันชอบเสียงเครื่องเรือที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ผสานกับเสียงน้ำสาดกระทบกราบเรือดังซ่า...ซ่า...
บางหยดก็กระเซ็นมาถูกพอเย็นกายเย็นใจ
แต่บางวันลมแรง คลื่นแรง ก็เล่นเอาตัวเปียกไปครึ่งหนึ่งเหมือนกัน)
ชอบนั่งดูคนมาซักผ้าริมตลิ่ง ดูคนแก่หิ้วปิ่นโตไปวัดริมน้ำ
ดูเด็กแก้ผ้ากระโดดน้ำกันตูมๆ

เห็นผักตบชวาลอยเอื่อยๆ สวนกับลำเรือ
เอ๊ะ...มันลอยมาจากบ้านฉัน หรือกำลังจะลอยผ่านไปบ้านฉันกันแน่...
ลองเหลียวดูบนฝั่งไกลๆ เห็นรถติดเป็นแถวยาว
บางทีเห็นคนวิ่งแข่งกันขึ้นรถประจำทาง น่าเหน็ดเหนื่อยเสียจริง...

ถ้าโลกหมุนช้าลงกว่านี้สักหน่อย คงจะดีนะ]



...ป่านนี้กระต่ายคงยังอยู่ที่โรงเรียน เด็กคนนั้นล่ะ ชอบนั่งเรือบ้างไหม?



[สุดคะเน...ทำไมบางครั้งตัวหนังสือของเธอจึงเหงานัก
เธอมีเรื่องเศร้าใช่ไหม มนุษย์ทุกคนมีความเศร้า
มีเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือนไปจากใจ เธอและฉันคงไม่ต่างจากใครๆ หลายคน

นานแล้วที่นักเขียนคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า...
แม้ชีวิตจะไม่ได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ
แต่เราก็ควรจะขอบคุณในสิ่งที่เราได้รับเอาไว้แล้ว...

...สายลมเดือนตุลา มีกลิ่นฤดูหนาวมาเบาบาง
ฟ้าครึ้มๆ เมื่อเช้าเริ่มเห็นแดดใสๆ แต่ตอนนี้มีฝนโปรยบางๆ
บางครั้งธรรมชาติก็ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันได้สวยงามอย่างนี้
นกกระจอกอ้วนๆ ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ระเบียง มันสะบัดขนจนฟู
ดูอ้วนกลมยิ่งกว่าเดิม อีกสักพักตัวแห้งมันคงบินไป

บ้านใกล้ๆ ฉันเขามีนกอยู่ในกรง
ทำไมคนชอบเลี้ยงนก
ทำไมชอบดูนกกระโดดอยู่ในกรง มากกว่าเห็นมันบินไปบนฟ้า...
แต่นั่นแหละนะ โลกนี้มีอีกหลายเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ
หนึ่งในหลายเรื่องนั้นก็คือ ความซับซ้อนในจิตใจมนุษย์นี่เอง]



เอ๊ะ...กระต่ายเคยพูดถึงแม่หรือเปล่า...?



[โกวเล้งเขียนไว้ว่า

...ชีวิต เฉกเช่นใบไม้ในสายลม จอกแหนบนผิวน้ำ

บางครั้งไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง

มีเรื่องราวมากมายที่อยากกระทำ แต่ไม่อาจกระทำได้

มีเรื่องราวหลากหลาย ที่ไม่ปรารถนากระทำ

แต่มิอาจไม่กระทำ...]

เด็กคนนั้นไม่เคยพูดถึงแม่...สักครั้งก็ไม่เคยได้ยิน



[...ฉันไม่ใช่นักเขียน ไม่ใช่เด็กสาววัยหวาน
เป็นเพียงคนทำงานที่เหน็ดเหนื่อย
ทุกข์บ้างสุขบ้างในท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า
แต่ฉันก็ยังพยายามตามหาความฝันที่หล่นหาย
คงไม่ช้าไปใช่ไหม ที่ฉันจะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้
นั่นคือ เขียนมาทักทาย "สุดคะเน"
และบอกว่าฉันดีใจที่ได้พบเธอ

ถ้าหากเป็นไปได้...
สักวัน ฉันจะชวนเธอนั่งเรือ ไปขึ้นที่ท่าน้ำหน้าวัด
ตามหลังผู้เฒ่าผู้แก่ไปทำบุญ...ถ้าหากเป็นไปได้

...จากเพื่อนที่เธอไม่รู้จัก


...พระจันทร์]




เด็กคนนั้นไม่เคยพูดถึงครอบครัว...
กับเค็นก็ไม่เรียกว่าพี่...
สุดคะเนดีดตัวลุกขึ้น
ตามองห่อขนมที่วางบนโต๊ะมุมห้อง เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเด็กคนนั้นจึงติดพันเธอนัก



คงแค่อยากมี...พี่สาว ก็เท่านั้น




ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1372 วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2549

06 November 2006

06 ขโมย

นํ้าลดลงแล้ว
เหลือเพียงคราบสกปรกแปดเปื้อนตรงนั้น ตรงนี้
สุดคะเนยืนหันหน้าออกระเบียง มองสิ่งต่างๆ ด้วยดวงตาเงียบงัน

พี่ดาวกลับไปแล้ว ไม่มีน้ำตาอีกที่ป้ายรถเมล์
ฝนแห้งเหือดแต่ท้องฟ้ายังฉ่ำ
เมื่อส่งคนรัก(ใช่หรือ?)เสร็จแล้ว เด็กสาวก็เดินกลับบ้านลำพัง

กระต่ายและเค็นไปเรียนตามปกติ
คนห้องอื่นไปทำงาน ตึกสองชั้นที่มีเพียงแปดห้องอยู่ในความเงียบสงบ
เสียงลมพัดใบมะพร้าวมาเป็นครั้งคราว หัวใจสุดคะเนยังคงสับสน

ยืนคิดครู่หนึ่ง เด็กสาวก็หันหลังเข้าห้อง หยิบหนังสือบางเล่มพลิกดู
ในเวลาจิตใจเศร้าหมองเธอมักจะหาถ้อยคำดีๆ
มาชุบชูจิตใจ(ทำไมเธอยังเชื่อใน "คำ")

สายตาปะทะซองจดหมายสีน้ำตาลฉบับหนึ่ง

"มีจดหมายอีกฉบับด้วย เค็นรับให้ อยู่ในตะกร้า"
คำพูดของเค็นแว่วมา เธอลืมเสียสนิท

สุดคะเนหยิบซองจดหมายลงไปนั่งพิงผนังห้อง ลายมือบนหน้าซองไม่คุ้นตา
เขียนมาแค่ว่า "ถึงคุณสุดคะเน" ตามด้วยที่อยู่แห่งนี้

ใครกันหรือ...สุดคะเนฉีกซองช้าๆ



[นนทบุรี...

สุดคะเน...ใช่ไหมจ๊ะ

เธออาจจะรู้สึกเคยชินกับการได้รับจดหมายจากคนที่เธอไม่รู้จัก
พูดอีกอย่างคือ คนเขียนหนังสืออย่างคะเน
คงไม่แปลกใจกับการได้รับจดหมายจากคนอ่านที่ชื่นชอบงานของเธอ

ฉันก็คงไม่แตกต่างจากใครอื่น หรือหากจะแตกต่างก็คงเป็นตรงที่ว่า
ฉันไม่เคยรู้เลยว่า เวลาที่ผ่านมา เธอทำอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง
เธอเขียนหนังสือกี่เล่ม และหนังสือเหล่านั้นชื่ออะไรบ้าง
ฉันแทบไม่รู้อะไรเลย นอกจากว่า เธอคือสุดคะเน

คนที่ฉันรู้จักเพียงชื่อเมื่อปี 2 ปีก่อน คนที่ฉันแอบหลงรักตัวหนังสือของเขา
อยากส่งจดหมาย อยากแนบใบหญ้าไปทักทาย และบอกว่าฉันดีใจที่ได้พบเขา

แต่ฉันกลับปล่อยให้เวลาผ่านไปเงียบๆ ปล่อยให้ใบไม้ผลัดใบไม่รู้จักกี่ฤดู
ปล่อยให้ลมแห่งชีวิตพัดพาความฝันปลิวหายไป
เหลือแต่ความจริงที่ต้องกระเสือกกระสนต่อสู้

จนกระทั่งวันหนึ่ง
ที่ฉันมีภาระรับผิดชอบมากมาย ต้องเป็น "ผู้ใหญ่" เต็มตัวตามภาวะทางสังคม
ฉันก็ได้พบกับเธออีก

ฉันจึงได้รู้ว่าความฝันที่หนีหายไปนานแสนนานกลับมาแล้ว...
แม้ว่าแววตาของฉันจะไม่ได้สดใสแวววาวเช่นวันก่อน
หากแทนที่ด้วยริ้วรอยแห่งชีวิตที่กร้าวมากขึ้นก็ตาม

บางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเรา ผ่านมาเพียงเพื่อผ่านไป
แต่หลายครั้งที่เราไม่ปรารถนาให้มันจากไป

หากเธอยังไม่รีบไปทำอะไรที่ไหน นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนเถอะ ได้ไหมจ๊ะ ฉันจะเล่าให้ฟัง...]



น่าประหลาดที่จดหมายจากคนแปลกหน้าทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

สุดคะเนอ่านต่อไป



[...เช้าวันนี้ฟ้าครึ้มเป็นสีเทาหม่น แต่ฉันได้กลิ่นลมหนาว
กระดิ่งที่แขวนไว้หน้าบ้านส่งเสียงคุยกับลมดังกรุ๋งกริ๋ง

บ้านของฉันอยู่ชานเมือง
เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้มาพร้อมกับความเจ็บปวดและกระเสือกกระสนที่ยังไม่จบสิ้นลงง่ายๆ
แถวนี้คงจะกลายเป็นชุมนุมชนในเวลาอีกไม่นาน
ถึงตอนนั้น ฉันคงไม่ได้กลิ่นลมหนาวอีกต่อไป
ด้วยว่ามันคงพ่ายแพ้กลิ่นของความเป็นเมือง
ต้นโมกของฉันคงจะร้องไห้แข่งกับดอกพุดซ้อน...

บ้านหลังเก่าของฉันอยู่ใกล้แม่น้ำสายยาวที่ชื่อเจ้าพระยา
หนังสือแบบเรียนสังคมศึกษาสมัยก่อนเป็นเล่มที่ฉันชอบมาก
เพราะมีเรื่องราวที่เหมือนของฉัน คะเนรู้จักไหม บทที่บอกว่า

...บ้านของฉันเป็นบ้านชั้นเดียว ทำด้วยไม้ ทาสีฟ้า อยู่ริมน้ำ
เราอยู่กันหลายคน มีพ่อ มีแม่ มีพี่มีน้อง และฉัน เราเป็นสุขมาก...
ฉันจำได้ดี แต่เดี๋ยวนี้ฉันไม่มีบ้านสีฟ้าหลังนั้นอีกแล้ว...]

สุดคะเนละสายตาจากเนื้อความในจดหมาย
หัวใจวูบแปลบขึ้นครั้งหนึ่ง...บ้านหรือ...บ้านไม้ริมน้ำ
เธอก็มีนี่นะ เพียงแต่เป็นบ้านสีน้ำตาล
ใต้ถุนสูง ที่เคยมีเด็กชายแก่แดดคนหนึ่งส่งยิ้มตาหยี

มีพ่อ...มีแม่...มีหลายอย่างที่ที่อื่นไม่มี



เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่สุดคะเนฉุกคิดว่า
เธอไม่ได้อยู่เพียงผู้เดียวในโลกใบนี้หรอก

แต่เธอลืมพวกเขาไป...



[ฉันรักแม่น้ำเจ้าพระยา ฉันชอบไปวิ่งเล่นริมน้ำ
รอดูดวงตะวันค่อยๆ ลับลงตรงสะพานข้ามแม่น้ำ
หลังบ้านเก่าฉันเป็นดงกล้วยน้ำว้า เช้าเปิดหน้าต่างหลังบ้านก็เจอใบตองเขียวระบัด
เห็นหัวปลีสีชมพูเข้ม กับเครือสีเหลืองนวลอยู่ตรงนั้นตรงนี้

ฉันเล่นในดงกล้วย มีกล้วยน้ำว้าสุกเป็นขนม
บางวันฉันได้กินแกงส้มหยวกกล้วย ได้กินหัวปลีต้มจิ้มน้ำพริก
ได้ช่วยห่อข้าวต้มมัด เมื่อนึ่งสุกหอมดี ฉันก็มีหน้าที่หิ้วไปแจกเพื่อนบ้าน
แล้วเราก็จะได้กินต้มหรือแกงจากบ้านอื่นๆ ในวันถัดไป

ชีวิตแบบนั้นฉันไม่เคยสัมผัสอีกเลยเมื่อมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่อาจกลับไปอีกแล้ว
ฟังเพลงนี้ทีไร ฉันน้ำตาไหลทุกที คิดถึงบ้านเกิดหลังเก่า...

...สายน้ำมิหวนไหลทวนกลับ เหมือนวันเดือนเลื่อนลาลับ มิกลับหวนทวนมาใหม่
ผ่านเลยทั้งสุขทุกข์ระทม ตรม ผิดหวัง สมหวัง เหลือเพียงรอยฝังฤทัย
...จะยื้อยุด ฉุดเวลากลับมาไว้ ไม่มีวัน
...อดีตเยาว์วัยห่างไกลสุดหล้า แม้ความรักเสน่หา ยังลางเลือนตาดุจฝัน
...คนที่เราเคยรักดังดวงจิต คนที่เราเคยแนบชิดสัมพันธ์ ต้องสูญพราก
...ต้องจากกัน ไม่มีวันหวนคืนมา
...โอ้ชีวิตคนเรา เปรียบดุจสายน้ำไหล ล่องลอยผ่านไปตามกาลเวลา...]

กระดาษในมือมีรอยยับเกิดขึ้น เพลงที่ไม่รู้จักแม้ท่วงทำนองกรีดหัวใจล้ำลึก สุดคะเนน้ำตาร่วง

...อดีตเยาว์วัยห่างไกลสุดหล้า แม้ความรักเสน่หา ยังลางเลือนตาดุจฝัน...



"พี่คะเน..."
เสียงเด็กกระต่ายดังมาแต่ไกล ไม่ถึงนาที หางเปียยาวก็กวัดแกว่งหน้าประตู หายใจหอบแฮกๆ


"พี่คะเนขา...อุ้บ!"
กระต่ายตะลึง เมื่อเห็นตาดำสนิทที่เงยขึ้นมีหยดน้ำคลอ ขนตางอนเปียกชุ่ม
นานๆ สักครั้งสุดคะเนจึงจะเปิดประตูห้องกว้างอย่างนี้

ไม่รีรอ กระต่ายกระโดดเข้าหา สองแขนเล็กๆ โอบกอดคนโตกว่า

"โอ๋ๆ อย่าร้องไห้สิคะ บอกกระต่ายมา...ใครทำอะไรให้ ยายแก่คนนั้นใช่มั้ย...อุ้บ!"
กระต่ายปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน รีบโยกตัวสุดคะเนไปมา

"อย่าเสียใจเลยนะคะ ดูกระต่ายสิ เสียใจเหมือนกันแต่ก็ทำใจได้..."
สุดคะเนเหลือบตาดูเด็กแก่แดด
แก้มยังมีสีชมพูเปื้อนเหงื่อ คงจากการออกแรงวิ่งขึ้นตึกมา รีบป้ายมือเช็ดน้ำตา

"พี่ไม่เป็นไร" เสียงแข็ง "ปล่อยเถอะ"

"ไม่"

กระต่ายยิ้มกริ่ม จูบแก้มข้างหนึ่งเสียงดัง

"อ่า...ชื่นใจจัง"

สุดคะเนหน้าแดงก่ำ ผลักเด็กสาวออกห่างตัว

"บ้าน่ากระต่าย"

"แน่ะ เขินก็เป็น"
กระต่ายไม่รู้ไม่ชี้ คิ้วเฉียงขมวดนิดหน่อยเมื่อเห็นจดหมายในมือรุ่นพี่

สุดคะเนรู้ทันความสงสัยนั้น รีบเก็บจดหมายเข้าซองทั้งที่ยังอ่านไม่จบ

"ทำไมกลับมาเร็ววันนี้ ไหนว่ามีซ้อมดนตรี"

"ยกเลิกไปแล้ว"
กระต่ายละมือจากคนที่หมายปอง สุดคะเนถอนใจโล่งอก รีบลุกขึ้นหาที่เก็บจดหมาย

ไม่เห็นเลยว่า สายตาของกระต่ายหม่นลงวูบหนึ่ง

"ทำไมล่ะ" สุดคะเนพลิกดูหลังซอง ลายมือไหวๆ เขียนว่า ""I Am the Moon."

"ก็...พี่คะเนไม่ยอมไปดูกระต่ายไง เลยไม่มีกำลังใจ เส้นเสียงอ่อนแรง"

กระต่ายว่าพลางชำเลืองดูอีกฝ่าย เมื่อเห็นสุดคะเนเฉยเมยก็ถอนใจ ดีดตัวลุกบ้าง

"ไปอาบน้ำดีกว่า เผื่อชีวิตจะดีขึ้น"

สุดคะเนหันมาดูเด็กขายาว หัวเราะเบาๆ

"เป็นเด็กก็ดีนะ เปลี่ยนใจง่าย"

"แหงสิ" กระต่ายทำปากยื่น
"ใครจะเหมือนพวกผู้ใหญ่ล่ะ ทำอะไรซับซ้อน
เค็นอีกคน เดี๋ยวนี้มีลับลมคมนัย ไปไหนก็ไม่ค่อยบอก สงสัยแอบมีแฟน"

"อ้าว ก็ดีนี่นา หวงเค้าทำไม"

"ไม่ได้หวง...ก็ทีเรานะ ห้ามโน่นห้ามนี่ ชอบผู้หญิงเหมือนกันก็ระวังไว้บ้าง
สังคมจะมองไม่ดี ทีตัวเองนะ มองผู้ชายลูกตาจะหลุดจากเบ้า!"

"ฮา" สุดคะเนส่ายหน้า เก็บจดหมายสีน้ำตาลลงลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ
"...อืม...แล้วกระต่ายไม่สนใจหรือ ถ้าใครจะมอง?"

"ไม่"ตอบชัดถ้อยชัดคำ

"กระต่ายมั่นใจตัวเอง ทำไมล่ะ นี่เรื่องหัวใจเราแท้ๆ" มือเล็กๆ ทาบบนหน้าอกตัวเอง

"ว่าได้ว่าไป ห้ามได้ห้ามไป กระต่ายจะเป็น จะทำ อย่างที่หัวใจบอกเท่านั้น"

เด็กผมเปียหายเข้าห้องข้างๆ ไปแล้ว ...

จะเป็น จะทำ อย่างที่หัวใจบอกเท่านั้น...งั้นหรือ


สุดคะเนลูบแก้มข้างที่โดนขโมยจูบ

ยิ้มจางๆ...




ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1367 วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2549

05 November 2006

05 ไม่

ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่ม
ให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน
แต่ต้องตาพาใจอาลัยอาวรณ์
สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน


สุนทรภู่ / นิราศวัดเจ้าฟ้า



กระต่ายใช้หลังมือปัดปลายผมที่ลุ่ยปิดตา
จากนั้นประคองถาดอาหารออกจากห้อง กลิ่นแกงหอมน่ากิน
แต่ดูๆ ไป กลิ่นกระต่ายแรงกว่า
เถอะนะ ส่งอาหารแล้วจะรีบกลับมาอาบน้ำ เด็กสาวคิด

เปลี่ยนเสื้อผ้าทาแป้งหอมๆ แล้วไปเก็บจาน
พี่คะเนจะต้องขอบใจ ชมว่าแกงอร่อยมาก
และ...กระต่ายมีเรื่องราวมากมายจะโม้ให้ฟังเพลินไป หนูน้อยฝันหวาน


"มาแล้วค่า..." กระต่ายส่งเสียงเมื่อถึงหน้าห้อง
เงียบ เด็กสาวเอียงคอ เขยิบเข้าใกล้หน้าต่างบานเกล็ด แต่ม่านถูกดึงลงสนิทแล้ว

"พี่คะเน...อาหารมาแล้วค่า..."
มีเสียงกุกกัก ขลุกขลัก เสียงคนพูดอะไรแว่วๆ
ทำไมเหมือนมีใครอยู่ในห้องกับพี่คะเนด้วย
เด็กสาวสงสัย จะเคาะประตูมือก็ไม่ว่าง


"พี่คะเนขา..."

ประตูเปิดออกจนได้ สุดคะเนหน้าแดงจนเห็นชัด ทีท่าอิหลักอิเหลื่อชอบกล ยิ้มเฝื่อนๆ

"อ้อ กระต่าย"

"ร้อนๆ เลยค่ะ ข้าวก็อุ่นใหม่ด้วย"
กระต่ายเบียดตัวจะแทรกเข้าไป สุดคะเนกลับยืนนิ่งเหมือนขวางทาง

"ขอบคุณมาก" เสียงอ่อนโยน แต่ยื่นมือออกมา
"พี่เอาเข้าไปเอง เดี๋ยวจะเอาจานไปคืนนะ"

"กระต่ายยกให้เองค่ะ"
มีอะไรแปลกไป แต่กระต่ายยิ่งอยากรู้
ยายคนนั้นก็กลับไปแล้วนี่ มีใครมาชั่วไม่กี่นาทีนี้หรือ

"ไม่เป็นไร" สุดคะเนดึงถาดอาหารไว้ กระต่ายดึงกลับ สุดคะเนก็ไม่ปล่อยมือ

"ให้น้องเอาเข้ามาเถอะค่ะ"
ผู้หญิงผมยาวดึงประตูให้กว้างกว่าเดิม

กระต่ายตาเบิกโพลง มือเรียวงามยื่นแตะขอบถาดด้วยคน

"ดาวรับให้ดีกว่า"

กระต่ายตัวแข็ง สุดคะเนหน้าแดงกว่าเดิม
เด็กผมเปียเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่สุดคะเนจึงมีท่าทางอย่างนั้น
ก็คนที่เดินออกมาภายหลัง เสื้อยังติดกระดุมไม่ครบทุกเม็ด
เนินอกขาวผ่องจนไม่ยากที่จะจินตนาการ น้ำชุ่มผม เปียกไปทั้งตัว
หากยิ่งรัดรึงให้เห็นส่วนเว้าโค้งเรือนกาย

กระต่ายเพิ่งสังเกตว่าพี่สุดคะเนเองอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
เสื้อผ้ายับย่นราวผ่านการเคลื่อนไหวหนักหน่วง
กระต่ายละมือจากของที่ถือทันที เลือดฉีดขึ้นหน้าร้อนผ่าว

"...ขอ...ขอโทษค่ะ"

"เอ้อ...กระต่าย!" สุดคะเนขยับร้องเรียก แต่เสียงนุ่มนวลกระซิบข้างหู

"จะทานข้าวหรือจะ...ต่อดีคะ"


ประตูห้องปิดลง
ถาดอาหารถูกวางทิ้งบนโต๊ะเล็กไม่มีใครไยดี
สุดคะเนทรุดลงนั่งพิงผนัง น้ำเปียกพื้นเป็นจุดๆ ไป

"พี่ดาวรีบอาบน้ำเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย"

ร่างบอบบางกลับคุกเข่าลง ตาแสนสวยมองสงสัย
"คะเนห่วงเด็กคนนั้นหรือคะ..."

"เปล่า ไม่เกี่ยวกับกระต่าย" สุดคะเนเสียงห้วน

"แต่พี่ว่าไม่นะ ดูเหมือนคะเนจะกังวลที่...เค้าเห็นเรา..."

สุดคะเนไม่ตอบ เบือนหน้าไปอีกทาง ดาวขยับเข้าใกล้อีก แตะมือบนแก้มให้หันมา

"คนดีของพี่ดาว..."

"คะเนอยากให้พี่อาบน้ำ!"

"อาบให้พี่สิคะ"

ตาดำสนิทหันมาทันที หญิงสาวผมยาวยิ้มจาง สุดคะเนข่มกลั้นความรู้สึกเต็มที่
"พี่ควรห่วงคนที่อยู่ในท้องบ้างนะ!"

ดาวยิ้มกว้างกว่าเดิม ขยับเข้าใกล้คนผมสั้น เสยผมสั้นเกรียนให้
"เค้าคงดีใจนะ ถ้ารู้ว่ามีอาคะเนห่วงด้วย"

"พี่ดาว..." สุดคะเนถอนใจ
"พี่ทำแบบนี้ทำไม...พี่ไม่คิดหรือว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง"

"ใครละคะ...คนอื่น สำหรับพี่แล้ว คะเนคนเดียวเท่านั้นที่พี่แคร์"

มือนุ่มนวลแกะกระดุมเสื้อตัวเองอีกครั้ง เสื้อสีควันบุหรี่หลุดจากไหล่
ชุดชั้นในชุ่มน้ำ ในท่านั่งคุกเข่า หญิงสาวดึงมืออีกฝ่ายมาทาบบนทรวงอก

"ฟังหัวใจพี่สิคะ" ริมฝีปากแสนหวานเอื้อนเอ่ย
"หัวใจที่บอกว่า ต้องการคะเนแค่ไหน"

สุดคะเนรั้งมือกลับ ดาวก็ยังยื้อเอาไว้ กดปลายนิ้วของอีกคนให้เลื่อนลงต่ำ
บราเซียส์บางเบามิอาจซ่อนความตื่นเต้นมุ่งหมาย
จุดสีชมพูขยายออกเหมือนดอกไม้รอฝน

สุดคะเนขืนตัวไว้ แต่ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าว
ดาวหายใจแรง ไหวตัวสะท้าน แค่ปลายนิ้วแตะยังรู้สึกถึงเพียงนี้

"ตกลงค่ะ คะเนจะอาบน้ำให้!"

สุดคะเนผุดลุกทันที ดาวยิ้มหวาน ส่งมือให้อีกฝ่ายช่วยดึงขึ้น
แม้คนผมสั้นจะยังหมางเมิน แต่เหตุการณ์ก่อนที่เด็กคนนั้นจะมา
บอกแล้วว่าสุดคะเนอ่อนแอเพียงไร


ในห้องน้ำคับแคบยิ่งนัก
ถังสีน้ำเงินรองน้ำจนเต็มแอบข้างอ่างล้างหน้า ถัดไปเป็นโถชักโครก
หมุนไปอีกฝั่งจึงจะเป็นฝักบัวสีขาวยื่นจากผนังกระเบื้องสีเดียวกัน

ดาวขมวดผมขึ้นเหนือศีรษะ แต่ยังลุ่ยลงเคลียแก้ม
เสื้อผ้าเปียกชุ่มถูกถอดขึ้นพาดบนราว เหลือเพียงเรือนกายเปลือยเปล่า

"คะเนถอดเสื้อสิคะ"

"...ไม่เป็นไรค่ะ" สุดคะเนเบี่ยงตัว "จะอาบให้พี่ดาวก่อน"

ดาวไม่ว่าอะไร หลับตาลง ทิ้งสองแขนแนบลำตัว เผยให้เห็นร่างกายสวยงาม
หน้าท้องยังแบนราบมองไม่เห็นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน
สุดคะเนหมุนวาล์วน้ำ ละอองเย็นพรั่งพรู

"ถูตัวให้ด้วยสิคะ" ดาวเริงร่าเหมือนปลาที่พบแอ่งของตัวเอง
สุดคะเนเม้มริมฝีปาก ดึงขวดสบู่กดเรียกหยดเหลว

ฝ่ามือทาบบนเนื้อแขน ดาวหมุนตัวให้ชโลมด้านหลัง พลางห่อไหล่เหมือนหนาวเหน็บ

"หนาวมากมั้ยคะ" สุดคะเนเร่งมือ "ที่นี่ไม่มีน้ำอุ่นด้วยสิคะ"

"ไม่เป็นไรค่ะ" ดาวเสียงพร่า
"ไม่ต้องห่วงมากค่ะ พี่ดาวแข็งแรง"

สุดคะเนลูบไล้จนสบู่แตกฟอง กลิ่นหอมกระจายฟุ้งทั่วห้อง
ผิวนุ่มเนียนตอบรับการเคลื่อนไหวเหมือนรอคอยมาชั่วกัปกัลป์

มืออ้อมโดนทรวงอก สะเทือนไหวจนรู้สึกได้

"คะเน...ถอดเสื้อเถอะนะคะ"
ดาวหมุนตัว รั้งเสื้อของเด็กสาวผมสั้น ตางามเว้าวอน

"พี่จะอาบให้ด้วย"

"ไม่ค่ะ" สุดคะเนยังยืนยัน

"นิ่งๆ สิคะ จะได้รีบอาบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอุ่นๆ พรุ่งนี้ถ้าพี่ไม่สบาย คะเนจะรู้สึกผิดมาก"

"ไม่เห็นต้องรู้สึกอย่างนั้นเลย พี่กลับมาหาคะเนเองนะ"

"...แล้วพี่ไม่ต้องทำงานหรือคะพรุ่งนี้"

"พี่โทร.ไปบอกที่บ้านแล้วว่ายังทำธุระไม่เสร็จ...
อย่ากังวลเลยค่ะ พี่กลับไม่ได้หรอก ถ้าคะเนยังรู้สึกเหมือนเมื่อเช้านี้"

ร่างเปลือยเปล่าเบียดเข้ามาอีก

"คนดีของพี่ดาว...พี่จะตายกับสายตาแบบนี้ รู้มั้ยคะ"

สุดคะเนดึงฝักบัวลงจากที่ หมุนวาล์วน้ำเพิ่มแรงขึ้น
ล้างฟองสบู่ออกเร็วกว่าเดิม ดาวมีสีหน้าเผือดไป
หญิงสาวเงียบนิ่งเมื่อรู้ว่าสิ่งที่แสดงออกไม่ทำให้อีกคนคล้อยตาม

...แต่มีหรือสุดคะเนจะไม่หวั่นไหว หญิงสาวยังเชื่อมั่น
ในเมื่อก่อนเด็กคนนั้นจะโผล่มา จูบจากความคิดถึงยังทำให้สุดคะเนโอนอ่อน

สุดคะเนเองล้างฟองสบู่ไป หัวใจกลับเต้นจนไม่เป็นจังหวะ
ต้องใช้ความรู้สึกข่มกลั้นเพียงไหน ทรมานใจเพียงใดใครรู้บ้าง
คนที่รักกำลังอยู่ตรงหน้า เปิดเผยทั้งร่างกายและจิตใจ
หวานแสนหวาน หอมแสนหอม แค่เปิดหัวใจบ้าง ดอกไม้ก็พร้อมจะบานรับ

แต่ไยความชุ่มฉ่ำที่ควรจะมีกลับแห้งเหือด
เหมือนร่างกายกับจิตใจไม่ประสานสอดคล้อง
หรือจูบที่ดื่มด่ำมีแต่ในความฝัน อ้อมกอดแท้จริงยังมาไม่ถึง

ณ จุดหนึ่ง เธอนอนกับใครต่อใครที่ไม่รักโดยง่ายดาย
แต่กับคนที่อยู่ในหัวใจตลอดเวลา


ไม่อาจ...



ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1366 วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549

15 October 2006

04...ประตู

"ฝนตกอีกแล้ว!" กระต่ายชะโงกหน้าจากระเบียง

"ดูสิเค็น! น้ำยังไม่ทันลดเลย เดี๋ยวก็ท่วมอีก...แล้วจะเดินเข้ามายังไง เปียกแย่เลย"

เค็นกำลังล้างจานอยู่หลังห้อง ชะโงกดูกระต่ายบ้าง
"แล้วไงจ๊ะ ห่วงอะไรนักหนา คนเค้ามีหัวมีเท้า"

"เอ๊ะ! เค็นนี่! พูดดีๆ นะ หมายความว่าไง"
"ก็..." เค็นยิ้มหวาน "มีหัวคิด มีเท้าเดิน ไม่ใช้หัวเดินหรือเอาเท้าคิดหรอกกระมัง"
"เกลียดเค็น!"

กระต่ายร้องแล้วผลุนผลันวิ่งเข้าห้อง หยิบของอย่างหนึ่ง เร็วเหมือนลมพัด ครู่เดียวร่างเล็กๆ ก็ลงไปถึงชั้นล่าง
"อ้าว! แล้วนั่นจะไปไหน...กระต่าย!!"

ไม่มีคำตอบ เห็นแต่หางเปียกวัดแกว่งกับขายาวๆ วิ่งบนสะพานไม้คล่องแคล่ว
แต่ก็นะ...

โครม!

สุดคะเนยังยืนที่เดิม ปล่อยสายฝนสาดซัดเนื้อตัวเหมือนคนไร้สติ มีแต่คำพูดที่ดังซ้ำๆ ในห้วงคิด
"พี่กำลังจะมีน้องอีกคน..."

ยกมือลูบหน้า สัมผัสละอองเย็นอาบโลม
เคยคิดว่าฝนที่ตกในห้วงหุบเขา* จะเป็นครั้งสุดท้าย เปล่าเลย...
ทุกอย่างยังเวียนวน เป็นเขาวงกต ณ อาณาจักรใจ

"พี่คะเน..."
ร่มลายดอกไม้คันหนึ่งโผล่สูงในอากาศ มือเล็กๆ กระยื้อกระแหย่ง

สุดคะเนลืมความเศร้าไปชั่วครู่
กระต่ายยิ้มดีใจเมื่อพี่คะเนเหลียวมอง

โครม!

สุดคะเนปั้นหน้าไม่ถูก
กระต่ายยิ้มแหยๆ รีบทรงตัวลุก ร่มสีชมพูหักพับ น้ำฝนหรือน้ำจากทางเท้ากันแน่
เปียกเปื้อนหัวหู ปลายเปียรุ่ยร่าย

"กระต่าย!!"
สุดคะเนแผดเสียง เป็นครั้งแรกที่เสียงดังขนาดนี้ พรวดเดียวถึงตัวเด็กผมเปีย
"ไม่ระวังเลย! จะรีบไปไหน!"

กระต่ายยังยิ้มเหมือนเดิม
สุดคะเนเหลือบเห็นรอยถลอกหลังแขน เลือดสีเดียวกับดอกไม้บนร่ม
แต่เจ้าตัวกลับทำไม่รู้ไม่ชี้คว้าหมับเหนือแผล

"โอ้ย! เจ็บนะพี่คะเน!"
"อ้าว! เจ็บด้วยเหรอ เห็นวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ กระต่าย (ฉอดๆๆ) แล้วนี่จะไปไหน
ฝนหนักขนาดนี้ ออกบ้านมาทำไม!"

"มารับพี่คะเนไงคะ" ตาใสแจ๋วเป็นประกายเงยสบอย่างกล้าหาญ
สุดคะเนชะงักชั่วอึดใจ ละมือทันที

"ดูซิ ร่มพังหมดแล้ว" กระต่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
เด็กคนนี้คิดอะไรก็แสดงออกหมด สุดคะเนคิดในใจ

"ทำไงดีล่ะ...พี่คะเนเปียกหมดแล้ว"
"ยังจะห่วงคนอื่นอีก!" สุดคะเนแทบตะโกน

"ก็...ก็กระต่ายกลัวพี่คะเนลืมให้รางวัล"
"รางวัล??"

"เมาะลำเลิงมีอีกชื่อคือมะละแหม่ง"
สุดคะเนกลืนน้ำลาย "เหตุผลแค่นี้? ที่ฝ่าฝนออกมา"

ไม่มีเสียงตอบ สุดคะเนส่ายหน้าระอาใจ คว้าร่มม้วนเก็บ
"ไม่ต้องกงต้องกางมันแล้ว เปียกขนาดนี้!"

"งั้นกลับบ้านเรานะคะ" มือเล็กๆ เกาะแขนอย่างยินดี
"บ้านเรา" สุดคะเนสะดุดหูนิดหน่อย
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้รีบลากแขนเด็กตัวปัญหาเข้าซอย

"พี่คะเน..." กระต่ายทรงตัวไม่ดีนักบนสะพานไม้แต่ดูก็รู้ว่าพยายามเต็มความสามารถ
"อะไร? ไม่ต้องรีบมากก็ได้ เดี๋ยวตกอีก" สุดคะเนทอดขาช้าลง กระต่ายแอบยิ้ม

"พรุ่งนี้กระต่ายมีซ้อมกับเพื่อนๆ พี่คะเนไปหน่อยมั้ยคะ"
"ทำไมต้องไป" สุดคะเนไร้เยื่อใย
"พี่ไม่ใช่วัยรุ่น ฟังเพลงแนวกระต่ายไม่รู้เรื่องหรอก"

กระต่ายย่นจมูก
"20 เนี้ยนะ พูดยังกะสัก 37...พี่คะเนไม่อยากฟังกระต่ายร้องเพลงเลยเหรอ"
"ฟังกระต่าย... ฮะๆ" สุดคะเนหัวเราะ "อยู่ที่บ้านก็ได้ยินเบื่อจะแย่อยู่แล้ว"

โครม!

เด็กสาวร้องลั่น ตัวจมน้ำครึ่งท่อน
สุดคะเนหัวเราะท้องแข็ง กระโดดลงไปคว้าแขนมอมแมม
"รอบสามแล้วซีกระต่าย!"

"โอ้ย! เจ็บ!!" กระต่ายร้องดัง หน้าเหยเก น้ำตาคลอปริ่ม
"พี่คะเนใส่ยาอะไร!"

"ทิงเจอร์ไง" สุดคะเนชูขวด
"แผลไม่ใช่น้อยๆ นะ ไหนจะเจอน้ำครำสกปรกอีก กันไว้ก่อน
อยากเป็นบาดทะยักตายหรือไง"

"โดนขอบไม้ ขอบถนน ไม่ใช่ตะปูเสียหน่อย"
"ไม่รู้ล่ะ กันไว้ก่อน แล้วนี่เค็นหายไปไหน ไม่เห็นอยู่ห้อง"

ทั้งสองอยู่ในห้องของสุดคะเน กระต่ายแอบดีใจที่เห็นกุญแจคล้องห้องเจ็ด
"กระต่ายเปิดได้นี่" สุดคะเนนึกได้

"กลับไปห้องตัวเองมั้ย"
"ไม่มีกุญแจ ลืมไว้ในกระเป๋า..."

สุดคะเนมองเด็กสาวอย่างชั่งใจ ลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้า
"เอาเถอะ งั้นอาบน้ำก่อนดีกว่า รอเค็นกลับมา เดี๋ยวปอดบวมตายเสียก่อน"

มือที่รื้อเสื้อผ้าชะงัก มีเสื้อตัวหนึ่งแขวนข้างผนังตู้ ตัวที่แขกของเมื่อคืนใส่นอน
ยังเหมือนมีกลิ่นจางๆ...

"พี่คะเน เมื่อวานไม่ได้ทานข้าวหรือคะ"
กระต่ายโผล่มาจากครัว จับขอบถุงพลาสติกหมิ่นๆ กลิ่นไก่ย่างเหม็นตุ
"แล้ววันนี้ทานอะไรหรือยัง..."

สุดคะเนเลือกได้กางเกงขาสั้นกับเสื้อเนื้อนิ่ม

"ทิ้งไปเถอะกระต่าย รื้อมาทำไม"
"ได้กลิ่นนี่"

"รีบอาบน้ำ...มีสบู่เหลวนะ ใช้ได้"
"พี่คะเนไม่ทานข้าว เดี๋ยวจะไม่สบายนะคะ...เอางี้ กระต่ายมีแกงพุทรา เค็นทำอร่อยมากๆ จะตักมาให้นะ"

ห้ามไม่ทัน ร่างเล็กวิ่งตึงตังไปห้องข้างๆ ล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงไขคล่องแคล่ว

"กระต่าย! ไหนว่าเปิดไม่ได้!"
สุดคะเนโผล่หน้าร้องตาม หัวเสียที่โดนเด็กหลอก
กระแทกประตูปัง! กดล็อค แต่แล้วก็หยุด...ถอนใจ หมุนลูกบิดคลายออก

ในห้องหมายเลขเจ็ดกระต่ายรีบล้างมือ เช็ดจนแห้งสะอาด กดสวิชท์ไฟอุ่นแกง
ขอบคุณเค็นที่ทำไว้เสียเยอะแยะ พี่สุดคะเนอาจไม่เคยกินหรอกกระมัง อาหารท้องถิ่นอย่างนี้เสียดายที่ทอดมันหน่อกะลาหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นจะได้ชิมด้วย

เด็กสาวสาระวนกับการอุ่นอาหารเลือกจานจัดสำรับ ทั้งที่ตัวยังเลอะเทอะ แก้วน้ำสวยๆ อยู่ไหนแล้วล่ะ จะได้แบ่งน้ำหวานไปกินด้วย

ไม่ทันได้สังเกต ร่างบอบบางเปียกชุ่มโชก กลับขึ้นบันไดมาอย่างอ่อนล้า ตรงไปหาห้องริมสุด

"เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก...อ้า...เดี๋ยวเปิดให้ค่ะ ลืมไปว่าถือของ..."
เสียงของสุดคะเนแจ่มใสขึ้นมาก

ประตูเปิดออก...



*อ่านตอน "ลาแล้วภูพิงค์" มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1333, 3 มีนาคม 2549


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1365 วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2549

30 September 2006

03 อีกฝน

กระต่ายลงไปนั่งยองๆ แตะกลีบกุหลาบเมาะลำเลิงอย่างเอ็นดู

ลำต้นมีหนาม ใบเขียวเข้มปลายเรียว แผ่พุ่มในกระถางแข็งแรง ดูเหมือนพี่สุดคะเนจะเคยบอกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นพืชในตระกูลกระบองเพชร แถมพรรคพวกในสกุลหลักล้วนสีชมพู

‘เจ้านี่รายเดียวสีส้ม’ พี่คะเนเคยพูดยิ้มๆ
‘กลุ่มสีชมพู เค้าเรียกปีรีสเคีย แกรนดิฟลอรา แต่ถ้าดอกสีส้มเรียกปีรีสเคีย คอร์ริวกาตา’

‘เหมือนกุหลาบตรงไหนกัน’
‘ดอกไงคะ ดูดีๆ สิ บางคนถึงเรียกว่ากุหลาบเทียมหรือกุหลาบแก้ว”

กระต่ายไปค้นข้อมูลเพิ่มที่โรงเรียน ได้ความว่า ชื่อกุหลาบแก้ว ตั้งโดย ดร. ปฏิเวธ อารยะศาสตร์ ซึ่งเป็นคนแรกที่นำพันธุ์ไม้นี้เข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส ปี 2502

เมื่อนำความกลับมาบอกพี่สุดคะเน สิ่งที่ได้คือรอยยิ้มชวนให้หัวใจพองโต

‘เก่งจังกระต่าย ขยันหาความรู้แบบนี้ เค็นคงชื่นใจ”

เกี่ยวอะไรกับเค็น...กระต่ายนึกในใจ แต่ไม่พูดเฉยๆ พี่สุดคะเนไม่รู้บ้างหรือยังไง ที่กระต่ายวิ่งทำนั่นทำนี่ตั้งหลายอย่าง...เรื่องของหัวใจหรอก

‘อ้อ แล้วกระต่ายรู้มั้ย เมาะลำเลิงเป็นชื่อเมืองเก่าของมอญ แต่มีอีกคำนึงใช้เรียกเมืองๆ นี้ ใบ้ให้ว่าอยู่ในเพลงของจรัล มโนเพชร’

กระต่ายคิดหัวแทบแตก ใครจะไปรู้เล่า จรัล มโนเพชรร้องตั้งหลายเพลง ไม่ได้เป็นคนเหนือเหมือนพี่สุดคะเนเสียหน่อย

‘เอางี้ กระต่ายไปค้นมาอีกที ตอบถูกจะให้รางวัล’
วันนี้แหละ...กระต่ายยิ้มย่อง ยืดตัวลุกขึ้น มีเหตุผลเคาะเรียกพี่สุดคะเนแล้ว!


ประตูเปิดออก แต่คนที่เดินออกมาเป็นผู้หญิงผมยาวนัยน์ตาโศกเหมือนโลกมืดตลอดเวลาคนนั้น

เจ้าหล่อนขอบตาช้ำจัด ไม่หลับไม่นอนหรือไง กระต่ายคิดในใจ

“พี่ดาว...เดี๋ยวก่อนสิคะ”
พี่สุดคะเนถลันตามมา ยังอยู่ในเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้น มือคว้าแขนผู้หญิงคนนั้น

“อย่าเพิ่งไปสิคะ คุยกันก่อน”
“พี่ต้องกลับแล้วค่ะ”

พี่สุดคะเนทิ้งแขนลงอย่างอ่อนแรง สายตาที่มองแขกมาเยือนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

“พี่คะเนคะ...”
ทั้งสองหันขวับ ทำเหมือนกระต่ายเป็นมดแมลง ทั้งที่ยืนหางเปียชี้โด่เต็มตา
“กระต่ายรู้แล้วว่า...”

“เอาไว้ก่อนค่ะ”พี่สุดคะเนโบกมือ แล้วหันกลับไปหาผู้หญิงบอบบางซีดเซียว พูดด้วยน้ำเสียงต่างกันสิ้นเชิง

“อีกสิบนาทีได้ไหมคะพี่ดาว...นะ...ให้คะเนไปส่ง”


กระต่ายหันหลังกลับเข้าห้อง กระแทกประตูสนั่น
เค็นสะดุ้ง น้ำแกงในทัพพีแทบกระฉอก

“เบาๆ ไม่ได้หรือไงกระต่าย ได้ยินถึงซอยพระครูโน่น”
“อย่ายุ่ง!”

“อ้าว!” เค็นร้อง “โดนไล่มาอีกซี ก็บอกแล้วไปกวนอะไรเค้า มาเตรียมจานดีกว่า วันนี้แกงพุทราเชียวนะ อร่อยมากๆ ขอบอก”

“ไม่เห็นชอบกินเลย” กระต่ายหน้าบึ้ง “อยากกินเคเอฟซีมากกว่า”
“กระต่ายนี่” เค็นเป่าน้ำแกงเบาๆ ก่อนชิม

“แม่ได้ยินเสียใจตายเลย จำไม่ได้เหรอ ปลายฝนต้นหนาว แม่จะต้องแกงพุทราใส่ดอกแคให้กินกันไข้หัวลม ตอนเด็กๆ เธอโปรดจะตาย”
“อย่าพูดถึงแม่ได้มั้ย!”

กระต่ายลงไปนั่งกอดเข่ากลางห้อง เค็นชำเลืองดูน้องสาว ผมที่ยาวถึงกลางหลัง และเจ้าตัวถักเปียไว้เสมอ ตอนนี้เริ่มคลายออกตามเคย

กระต่ายผิวเหมือนแม่ ตาเรียวเหมือนพ่อ แต่ฤทธิ์ที่มากเหลือเกิน...ไม่รู้เหมือนใคร

เค็นละจากโต๊ะปรุงอาหาร ซึ่งมีเพียงกระทะไฟฟ้ากับหม้อหุงข้าวเท่านั้น มานั่งแหมะข้างๆ
“เอางี้ เดี๋ยวให้ตุ๊กตา”

กระต่ายร้องกรี๊ด ผลักอกเค็นเต็มแรง
“อย่าแกล้งเค้านะ!!”

“กิ๊วๆ ก็ไหนว่าลืมอดีต โธ่ กระต่าย...ไปกินข้าวกันดีกว่า แกงพุทรา มีทอดมันหน่อกะลาด้วย”
กระต่ายชักผิดหู

“เค็นไปเอามาจากไหน อย่าบอกนะว่า...”
“ฮื่อ” เค็นพยักหน้า “แม่แวะมา เธอขี้เซาแค่ไหนนึกดู แม่มาทั้งคนไม่รู้เรื่อง ใจคอห่วงแต่คนห้องแปด ตื่นมาก็รีบดิ๊กๆ ไปหา”

“เอ๊ะ! เค็นนี่ เค้าไม่ใช่หมานะ…แล้วแม่มายังไง มาทำอะไร”
“ไม่รู้ อยากทราบไปถามเอาเอง แม่นะ เห็นเธอหลับอุตุยังไม่ยอมให้ปลุกเลย เข้าห้องนิดเดียวก็ไม่เอา กลัวเสียงดัง กลัวนังปีศาจน้อยมันจะตื่น กลัวมันลุกขึ้นมาโวยวายไล่แม่ออกจากห้อง”

พูดไปๆ เสียงเค็นก็ชักสั่น กระต่ายเองใจหายวูบกับถ้อยคำเหล่านั้น ตาที่ชี้เฉียงหาขมับมีน้ำคลอปริ่ม รีบเบือนหน้าพูดเสียงแข็ง

“พอแล้วไม่ต้องพรรณนา...กินก็ได้! แต่บอกก่อนนะไม่ชอบ เห็นว่าอุตส่าห์ทำหรอก”

เค็นยิ้มออก (แต่ซ่อนไว้) ลุกเข้าครัวที่อาจจะเล็กที่สุดในโลก ตักแกงใส่ถ้วย ตักข้าวใส่จาน เตรียมสำรับให้น้องบังเกิดเกล้า


สุดคะเนขบริมฝีปากแน่นเมื่อเดินถึงป้ายรถเมล์ การะเวกเห็นแต่ใบ คราบฝุ่นฉาบหนาจนมีสีคล้ำจัด รถสาย 203 จอดรับส่งผู้โดยสาร แท็กซี่ยังไม่มา

“อย่าทานกาแฟมากนะคะ ทานข้าวด้วย”
พี่ดาวบอกเบาๆ สุดคะเนเจ็บในหัวใจเหมือนหนามแหลมทิ่มแทง

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คะเนไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ค่ะ พี่รู้”

แล้วก็เงียบกันไป แท็กซี่คันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามา เด็กสาวผมสั้นยืนทื่อ แต่คนผมยาวก็ยังยืนนิ่ง จนรถที่ไร้ผู้โดยสารผ่านไป

อีกคันและอีกคัน

“ทำไมไม่เรียกละคะ” สุดคะเนหันมาถาม
“จนกว่าคะเนจะเข้าใจพี่”

สุดคะเนนิ่งไปหลายวินาที
“คะเนเข้าใจเสมอ พี่ดาวต่างหากที่...”

“พี่รู้ พี่เอาเปรียบคะเนมาโดยตลอด”
เสียงที่แผ่วเบาเหมือนมีดอีกเล่มกรีดซ้ำแผลเดิม
“แต่พี่มีความจำเป็น เราก็คุยกันแล้วตั้งหลายครั้ง”

“คะเนก็แค่...อยากให้พี่ดาวอยู่นานกว่านี้อีกนิด”
“พี่หรือจะไม่อยากอยู่” ฝุ่นหรือเปล่า ที่เคลือบคลุมถึงดวงตาสวยโศก “แต่พี่ทำได้แค่นี้ ไม่แน่ด้วยว่าต่อไป จะมาหาคะเนได้อีกกี่ครั้ง...”

“ทำไมละคะ ก็ไหนพี่ดาวบอกว่า ถ้าคะเนไม่มีคนอื่นอีก...พี่จะมาหาเท่าที่ทำได้ จะพยายาม...หาทางอยู่ด้วยกัน”
“พี่ต้องรักษาตัว”

ตาแสนงามมองเข้ามาในตากลมดำ อากาศกำลังเปลี่ยนหรือเปล่า สุดคะเนรู้สึกถึงความเย็นยะเยียบที่ค่อยๆ เลื้อยไล่จากปลายเท้าสู่ศีรษะ หากหยุดชะงักแค่หัวใจ

เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวแล้ว

“...พี่กำลังจะมีน้องอีกคน”

แท็กซี่จอดลงจนได้ พี่ดาวก้มตัวลอดเข้าไป สุดคะเนฝืนยิ้มเมื่อร่างบางหันมาโบกมือก่อนเอนหลังพิงเบาะ แล้วรถก็เคลื่อนไป

เมฆแตกออกเหมือนถูกลมเป่าคว้าง หรือสุดคะเนต่างหากที่เคว้งคว้างยิ่งกว่าสิ่งใด จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนครั่น แม่ค้าหน้าตลาดกุลีกุจอเก็บข้าวของ บ้างกางร่ม บ้างคลุมพลาสติก การะเวกดอกหนึ่งปลิดก้านตามลมกรรโชกแรง

สุดคะเนยื่นมือคว้า ได้แต่ความว่างเปล่าอย่างนึกไว้ ฝนตกแล้ว เม็ดโตๆ กระแทกทุกอย่างไม่ปราณีปราศรัย ผู้คนวิ่งหลบชุลมุน แต่เด็กสาวยังยืนนิ่ง ไม่รู้จะรีบไปไหน

ไม่รู้จะรีบไปทำไม.


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1356 วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2549

02 กระต่ายหมายคะเน

ในห้องสีขาวคืนนี้ เปิดไฟโคมเพียงดวงเดียว

พี่ดาวอาบน้ำสระผมแล้ว กลิ่นจางๆ ของแชมพูมะลิยังเคลือบคลุมบนเรือนผมที่ยาวถึงกลางหลัง ดำสนิท นุ่มเหมือนเส้นไหม

หญิงสาวดึงหนังสือเล่มหนึ่งจากหัวเตียง ‘แพลทเทอโร แอนด์ ไอ’

สุดคะเนเข้ามานั่งข้างๆ ในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็ก ประจงซับหยดน้ำให้
พี่ดาวหันมายิ้ม นัยน์ตาบอกถึงความอบอุ่น เป็นสุข สุดคะเนยิ้มตอบ จูบเร็วๆ ที่แก้ม

“ไม่ทำงานหรือคะ”
“คะ?”
“ก็...คะเนต้องเขียนหนังสือไม่ใช่หรือ ไหนว่าพรุ่งนี้ต้องส่งต้นฉบับแต่เช้า พี่ไม่กวนนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”

สุดคะเนหัวเราะ ทิ้งตัวบนเตียง ดึงอีกฝ่ายให้ล้มลงด้วย

“อุ้ย!” พี่ดาวขืนไว้ แต่แล้วก็โอนอ่อน
“ใครจะบ้าทำอย่างอื่น มีพี่ดาวอยู่ด้วยแบบนี้”
“หวานจริง”

ตามองตา ชิดจนยินเสียงหัวใจเต้นแรง พี่ดาวพริ้มตาลง

“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”
“นั่นซี” สุดคะเนจูบหน้าผากนวล
“...จากคนไกลถึงคนไกล...ให้รับรู้ ”
“มาเป็นคู่กรณีกันดีกว่า...”

“...ต่างมีศาลชื่อศาล กาลเวลา”
“ตัดสินว่าใครคงมั่น...นานกว่าใคร”

จบคำกลอนที่ท่องต่อกัน พี่ดาวก็ซุกนิ่งในอ้อมแขนสุดคะเน พึมพำ

“ไม่นึกเลยว่าจะจำบทกลอนของพี่ได้”
“ได้สิคะ” สุดคะเนตอบ “คะเนเก็บสมุดคำกลอนของพี่ดาวไว้กับตัวเสมอ...อ่านบ่อยๆ จำได้แม้แต่ตอนนี้ ในหน้าเดียวกัน มีบางวรรคจากพระอภัยมณีด้วย”
“จริงหรือคะ”

“จริงสิ...ที่บอกว่า...ด้วยวิสัยในประเทศทุกเขตแคว้น ถึงโกรธแค้นความรักย่อมหักหาย อันความจริงหญิงก็ม้วยลงด้วยชาย ชายก็ตายลงด้วยหญิงจริงดังนี้”
“แต่ในความจริง หญิงก็ตายเพราะหญิงได้เหมือนกัน...”

“ส่วนหน้าซ้าย...” สุดคะเนต่อ “มาจากนิราศพระบาท...เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น ระวังตนตีนมือระมัดมั่น เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล”

“ทำไมคะเนจำเก่งขนาดนี้”
พี่ดาวเงยหน้าขึ้นดูคู่รักซึ่งอายุน้อยกว่าถึง 10 ปี สุดคะเนยิ้มจนเห็นรอยย่นที่หางตา

“คะเนความจำดี พี่ดาวไม่รู้หรือ อะไรที่ผ่านไปผ่านมาในชีวิต สำหรับคนอื่นอาจเหมือนลมพัดผ่านไป แต่กับคะเน เหมือนน้ำกับฝั่งมากกว่า”

“..................”
“ฝั่งที่ถูกน้ำเซาะ น้ำซัด ไม่มีทางจะลบเลือนร่องรอย”


พระจันทร์ขึ้นแล้ว มองจากหน้าต่างบานเกล็ดที่มีมะพร้าวต้นหนึ่งยืนขนาบใกล้ๆ แสงหรุบหรู่ของเดือนดวงเดียวที่มาแล้วจากจรอยู่ทุกค่ำคืน นำพาหัวใจหญิงทั้งสองล่องลอยสู่อาณาจักรเร้นลับ

ไม่มีกามาวิถี ถนนที่ทั้งสองเกี่ยวก้อยกันไป เป็นเพียงความเงียบนิ่ง และบทสนทนาถึงเรื่องราวก่อนนั้น

วันที่ความสัมพันธ์งอกงามบนหน้ากระดาษ แผ่นแล้วแผ่นเล่า

“พี่ได้สมุดเล่มนั้นมา ตอนงานครบรอบสุนทรภู่รำลึก ไปร่วมแข่งขันบทกลอนกับชมรม”
“คะเนเคยอ่านสุนทรภู่ตอนเด็กๆ แต่ไม่ติดใจเท่าเรื่องอิเหนา ไม่รู้ทำไม”

“พี่ชอบสุภาษิตสอนหญิงของเขานะ”
“คะ…”

“อย่างที่เขาเขียนว่า...ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา”

สุดคะเนนิ่งไป นานจนพี่ดาวประหลาดใจ
“...เป็นอะไรไปคะ”

“เปล่าค่ะ” เด็กสาวลอบถอนใจแผ่วเบา
“คะเนก็แค่คิดว่า ศิลปะวรรณกรรมมีอำนาจจูงใจคน แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนที่จะพาเราไปทางถูกต้อง…ไม่ใช่สิ อาจจะไม่มีทางถูกต้องก็ได้ แต่เป็นทางที่...เหมาะสม”

“คะเนพูดอะไรฟังยากจัง พี่ดาวตามไม่ทัน”
“ไม่ต้องตามหรอกค่ะ คะเนก็แค่คิดอะไรตามประสา”

เด็กสาวกอดร่างในอ้อมแขนแน่นเข้า
“แต่ก็จริงอย่างในนิราศอิเหนา...จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาด...ประหลาดใจ”


เสียงขลุ่ยแผ่วหวานมาจากที่ใดที่หนึ่ง น่าจะเป็นเพิงพักคนงานก่อสร้างกลางซอย มีบ้านใหญ่หลังหนึ่งกำลังค่อยก่อรูปขึ้นที่นั่น หลายครั้งที่เดินผ่าน สุดคะเนยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึง ‘บ้าน’ ของตัวเอง

ที่นี่กรุงเทพมหานคร เด็กสาวบอกตัวเองบ่อยๆ ไกลจากบ้านเกิดหลายร้อยกิโลเมตร แต่ระยะทางไม่ห่างเท่าใจ

กี่ครั้ง ที่เห็นภาพตัวเองกับกระเป๋าสีเหลือง รอรถ ขึ้นรถ ลงรถ พบปะสัมพันธ์ผู้คน เปิดปิดประตู ผ่านมา ผ่านไป ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง

แต่เวลานี้ ที่มีร่างบางละมุนในอ้อมกอด ยังมีหลายสิ่งติดค้างในห้วงนึกคิด แต่เช่นเคย หัวใจเป็นอิสระ ดังปลาแหวกว่ายสู่ห้วงมหาสมุทร

“ทั้งๆที่...ฉันอาจเป็นปลาแม่น้ำ”
“อะไรนะคะ”
พี่ดาวผงกศีรษะขึ้น

“ไม่มีอะไรค่ะ นอนเถอะ” สุดคะเนสัมผัสอีกฝ่ายเหมือนเด็กเล็กๆ ทนุถนอมราวดอกไม้แบบบาง
“ชอบผมคะเนจังเลยค่ะ” พี่ดาวเอื้อมมือขึ้นลูบ “ถ้าใส่เจลอีกนิด คงเหมือนเด็กผู้ชายซนๆ”

“คะเนชอบใส่ผ้าถุง” เด็กสาวพูด “สบายดีนะคะ”
มีความนิ่งไปเช่นกัน ในหน่วยตางาม
“พี่ดาวไม่เคยเจอทอมคนไหนเป็นแบบคะเนเลย”

แค่บางประโยคเล็กน้อย กลับทำให้สุดคะเนรู้สึกเหมือนมีแมลงไต่ตอมหัวใจ ระคายนิดๆ แต่ยังไม่สามารถเรียบเรียงได้ ขณะร่างกายก่ายกอดชิดแนบบนเตียง ตามองดูพระจันทร์เคลื่อนหายในเมฆแช่มช้า เด็กสาวคิดถึงอะไรต่อมิอะไรมากมาย

ไฟโคมดับลง แสงจันทร์กลับมาอีกครั้ง ในอพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็กที่ข้างล่างยังมีน้ำท่วมขัง มะลิซ้อนผลิดอกนอกระเบียง ในความสลัวราง กุหลาบเมาะลำเลิงหลับใหล

จูบอีกครั้งที่เปลือกตางาม พี่ดาวขยับริมฝีปากนิดๆ เหมือนละเมอ เบียดเข้าหาอีก แต่สุดคะเนไม่มีความต้องการอื่นใด

อีกฟากผนังห้อง เสียงกรนของเด็กหนุ่มบนฟูกดังสนั่น เค็นนอนแผ่หลับสนิทแสนสุข
เด็กสาวตัวเล็กในชุดนอนลายการ์ตูนผุดลุกนั่ง หน้าตาบึ้งตึง

“โอ้ย!!” เค็นลุกพรวด เมื่อหมอนใบเล็กกระแทกอกเต็มๆ
“กระต่าย! เขวี้ยงมาทำไม!!”
“เสียงดัง หนวกหู!”

“ไรวะ!” เค็นร้อง “เป็นไรกระต่าย อยู่ๆ ก็เป็นแม่นางหูเบา ฉันกรนของฉันตั้งแต่เธอยังไม่เกิด มีปัญหาอะไรตอนนี้!”
“ยังมีหน้ายอมรับอีก”

“น้อยๆ หน่อยกระต่าย ปากคอร้ายขึ้นทุกวัน...นอนไม่หลับละซี้ คนเค้ามีแฟนมา เป็นเด็กเป็นเล็ก ยุ่งอะไรเกินตัว”
“ฉันไม่ชอบยายคนนั้นสักนิด”

กระต่ายเม้มปาก

“อ้าว!” เค็นแทบหายง่วง “เห็นเค้าแล้วเหรอ แล้วไม่ชอบเค้าทำไม นี่กระต่าย จะบอกอะไรให้ คนเค้าไม่มีใจก็คือไม่มีใจ คนเราต้องยอมรับความจริง”

“ไม่!” กระต่ายผมยุ่งเหยิง ตาวาว
“พี่คะเนดีเกินกว่าจะตกในมือหญิงแก่แบบนั้น!”

เค็นหัวเราะก๊าก
“อ๋อ...เหรอ แล้วเด็กหญิงกระต่ายก็จะปลดปล่อยสัตว์โลกงั้นซี นี่กระต่ายขอบอกอะไรอีกที”
“อะไร”

“คะเนน่ะ เค้าลึกเกินกว่าจะสนใจเด็กอย่างเธอ ยิ่งทำตัวเป็นแฟนคลับเซ้าซี้ เค้ายิ่งหนีไม่เห็นหรือไง ดีที่เค้าเป็นคนสุภาพ และ...” เค็นยิ้มหวาน “มีความสัมพันธ์อันดีกับฉัน”
“ไม่ต้องสอน”

กระต่ายลุกขึ้น เดินไปเกาะขอบหน้าต่าง มองไม่เห็นอะไรเลย
ห้องนี้มีหน้าต่างเพียงสองบาน อยู่ติดประตูหน้าหลัง แต่สองพี่น้องชินแล้วกับที่พักแห่งนี้

“ฉันไม่ยอมแพ้หรอก เด็กก็มีหัวใจ หัวใจของคนอย่างกระต่ายเข้มแข็งกว่าใครๆ คิดด้วย!”
“อะจ้า” เค็นลากผ้าห่มขึ้นคลุมโปง

“งั้นก็ตามสบาย แม่กระต่ายหมายคะเน อย่ากระซิกทีหลังแล้วกัน อยู่ดีไม่ว่าดี เอาตัวเองไปเข้าแร้วเข้าร่อง”

“พูดอะไรเชยชะมัด”
กระต่ายเบ้ปาก ใช้มือเล็กๆ สางผมหยักยุ่ง

พรุ่งนี้เถอะ จะไปหาพี่คะเนแต่เช้า.


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1361 วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549

29 September 2006

01 นางในวรรณคดี


เดือนกันยายน อีก 1 ปีต่อมา

สุดคะเนหยุดเดินเมื่อสะพานไม้สิ้นสุดลง ผิวน้ำขุ่นจัด มีเศษปฏิกูลลอยเรี่ย ตาดำสนิทกวาดมองรอบๆ อย่างชั่งใจ น้ำขึ้นสูงกว่าที่คิด และไม่มีทางเลือกนอกจากจะย่ำลงไป
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก กระชับถุงในมือมั่น พยายามทรงตัว ถลกขากางเกงพับสูงขึ้นอีก

“อุ๊ย! ระวัง!”
เด็กหนุ่มผิวขาว ตารี เลี้ยวมุมออกมาพอดี
“มา เค็นช่วย” คว้าถุงไก่ย่างไปถือ “หอมถึงห้องเลยนะนี่ ว่าจะออกไปซื้อเหมือนกัน หมดหรือยังไม่รู้”
“ยังมีนะ” สุดคะเนกล่าวขอบคุณ รับถุงคืน “แบ่งมั้ยล่ะ ซื้อมา 3 น่องแน่ะ”
“โอ้โฮ แสดงว่าวันนี้หิวมาก”
“ฮื่อ มัวแต่ปั่นงาน รู้ตัวอีกทีคนออกจากออฟฟิศกันหมดแล้ว คุ้ยหาของกินมีแต่ขนมปังกรอบ จะทานข้างนอกก็ห่วงบ้าน แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอ”
“ถือโอกาส...” เด็กหนุ่มแสร้งป้องปาก “ห่วงบ้านเหมือนกัน...จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก นานทีจะมีเหตุอันควร”

สุดคะเนยิ้มกว้าง เค็นเป็นคนน่ารัก ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ก็ได้เด็กหนุ่มเป็นเพื่อนอีกคน
“อ้อ มีคนมาหาแน่ะ รออยู่หน้าห้อง”
“กระต่ายละสิ” สุดคะเนยิ้ม
“เปล่า ไม่ใช่”
“เอ...งั้นใคร”
“ไม่รู้ใคร แต่มาหาคะเนแน่นอน เพราะขึ้นบันไดไปนั่งหน้าห้องเลย เค็นว่าจะถามอยู่เหมือนกัน แต่ท่าทางเค้า...เอ้อ...ดูไม่อยากคุยกับใคร”

หางเสียงชายหนุ่มแปลกๆ สุดคะเนขมวดคิ้ว นึกไม่ออกว่าเพื่อนคนไหนแวะมา
“ขอบคุณค่ะ งั้นไปก่อนนะ”
“ฮะ อ้อ มีจดหมายอีกฉบับด้วย เค็นรับให้ อยู่ในตะกร้า”
“ไปรษณีย์เข้ามาด้วยเหรอ” สุดคะเนประหลาดใจซ้ำสอง
“สุดยอดอยู่แล้ว ไปซะณีบางอ้อ”
เค็นดัดเสียง สุดคะเนขำมาก ยิ้มตาสว่างไสว
“ไปเถอะๆ เดี๋ยวไก่หมด”
“ก็ถ้าไม่มีเค็นจะกลับมากินด้วย ฮา”

เสียงน้ำป๋อมแป๋มห่างไป เค็นบอกว่า ไหนๆ ก็ย่ำมาแล้วตั้งครึ่งทาง เดินบนสะพานไม่ทันใจ
สุดคะเนก้าวเท้าลงน้ำ ความอุ่นกับเย็นผสมผสาน แขยงนิดๆ แต่ก็กลั้นใจออกเดิน ชีวิตก็อย่างนี้แหละ ฝนตกน้ำท่วม บางครั้งเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเปียกแต่โดยดี ยังอยู่ได้ กินได้ มีที่นอนแห้งสนิท
...ก็ดีมากแล้ว


อพาร์ทเม้นท์นั้นไร้ชื่อ ทาสีขาวเรียบๆ มีเพียงสองชั้น แบ่งเป็น 8 ห้อง หนึ่งห้องน่าจะกว้างราวๆ 16 ตารางเมตร

สุดคะเนย้ายเข้าด้วยกระเป๋าคู่ชีพเพียงใบเดียว แต่สามเดือนให้หลัง เด็กสาวก็จัดมุมเล็กๆ หน้าห้อง ให้เป็นสวนจ้อย (โชคดีได้ห้องท้ายสุด) ลงไม้กระถางหลายชนิด มีม้าหินอ่อนตัวหนึ่งวางขนานระเบียง

กุหลาบหนูเรียงแถวในจุดที่แดดลงมากสุด นอกนั้นก็เป็นพลูชนิดต่างๆ คุณนายตื่นสาย ว่านหางจระเข้ เฟิร์น ฯลฯ
พี่นิล อาร์ตไดฯ ให้กุหลาบเมาะลำเลิงมาสองต้น อวดดอกสีส้มน่าเอ็นดู พี่นุ่มกับทะเลหุ้นกันให้กระบองเพชรหลากสี แต่ที่ถนอมมากที่สุดคือมะลิซ้อนซึ่งคนขายยืนยันว่า ให้ดอกตลอดปี

เงาใครไหวๆ บนระเบียง สุดคะเนล้างเท้าบนลานซีเมนต์ ทะเลมาเยี่ยมกระมัง ตั้งแต่ไม่มีน้ำตาลอีกแล้ว เธอกับเขาก็สนิทมากขึ้น
หรือเป็นพี่นุ่ม ซึ่งบางวันแวะมายืมหนังสืออ่านเล่น แต่ไม่สิ คนเหล่านั้นเค็นรู้จัก

เด็กสาวไม่คิดแม้แต่นิดเดียวว่า บุคคลที่ก้มหน้า ซ่อนไหล่บอบบางในเสื้อสีควันบุหรี่ คือคนที่เลือนจากความรู้สึกนึกคิด...ระยะหนึ่ง


“พี่ดาว! มาได้ยังไงคะ”
สุดคะเนตัวแข็ง ถุงใส่อาหารแทบร่วง ทันทีที่พ้นบันไดขั้นสุดท้าย และเห็นดวงตางามแสนเศร้า
“พี่ดาว! มีอะไรคะ พี่ร้องไห้ทำไม”
สุดคะเนทิ้งถุงอาหารจริงๆ ด้วย ผวาเข้าหาผู้หญิงที่กายไหวระริก โอบกอดด้วยความเป็นห่วงสุดแสน
“พี่...พี่นึกว่าคะเนจะไม่อยู่ที่นี่เสียแล้ว”
“...อยู่สิคะ คะเนเพิ่งออกไปครึ่งชั่วโมงเอง พี่ดาวสิ มาที่นี่ได้ยังไง แล้วดูสิ เปียกไปหมด”
“พี่ตกสะพานน่ะ”
“ตายจริง”

สุดคะเนกอดร่างบางไว้อย่างไม่แคร์สิ่งใดในโลกเลย ลูบไม้ลูบมือเหมือนปลอบเด็กเล็กๆ จูบผม จูบหน้าผาก กระทั่งอีกฝ่ายยันตัวออก
“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวใครเห็น”
“ไม่มีใครอยู่ค่ะ ห้องปิดกันหมด มีแต่เค็น...ห้องเจ็ด ไปซื้อของค่ะ เพิ่งสวนกันตะกี้”
“พี่อยากเข้าห้องน้ำ”
“ได้ค่ะ ได้”
สุดคะเนกุลีกุจอไขกุญแจ พี่ดาวมองถุงอาหารที่หล่นบนทางเดิน เข้าไปเก็บให้
“คะเนยังไม่ได้ทานอะไรหรือคะ”
“พี่ดาวละคะ” แทนคำตอบ เด็กสาวรีบถาม แย่งถุงมาถือแทน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ทั้งสองเข้าข้างใน กลิ่นไก่ย่างอวลขึ้นในห้องแคบ พี่ดาวขอตัวเข้าห้องน้ำ สุดคะเนรีบเปิดประตูที่ทะลุครัวเล็กๆ ยัดถุงอาหารเข้าตู้ ล้างมือลวกๆ
กลับมาอีกครั้ง เห็นแขกผู้มาเยือนจ้องนิ่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ…รูปสุดท้ายของน้ำตาล ที่นั่งในบ้านตลิ่งชัน
“สงสารจังค่ะ ไม่นึกว่าจะอายุสั้นขนาดนี้”
สุดคะเนไม่พูด เข้ารั้งร่างที่เปียกน้ำกว่าเดิม
“เปลี่ยนเสื้อนะคะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
“คิดถึงคะเนจังเลย”
พี่ดาวกลับหมุนตัวมาหา ทาบฝ่ามือบนแก้ม มองอย่างโหยหา

หัวใจสุดคะเนแทบขาด วันนี้เธอตื่นหรือหลับฝัน จู่ๆ ผู้หญิงซึ่งเคยมีชีวิตแต่บนหน้ากระดาษก็ปรากฏขึ้น ไม่มีใครอื่น มีแต่ห้วงอารมณ์ที่ผุดพลุ่งเหมือนตาน้ำใต้ดิน
มิอาจห้ามการหลั่งไหล มิสามารถหยุดยั้งด้วยสิ่งใด เด็กสาวครางเสียงแผ่วเมื่อริมฝีปากแสนหวานชิดเข้ามา
หากพราวน้ำตามิเหือดหาย เพียงย้ายจากคนหนึ่งสู่อีกคน พี่ดาวถอนจูบ สุดคะเนก็ถอนสะอื้น

“คะเน...ร้องไห้ทำไม”
“แล้วพี่ดาวละคะ ตะกี้ร้องไห้ทำไม”
“พี่...กลัวจะไม่เจอคะเน กลัวเจอคะเนอยู่กับคนอื่นอีก...กลัวไปหมด”
“ก็เหมือนกัน...คะเนกลัวว่านี่จะเป็นแค่ความฝัน พอขยับตัว พี่ดาวก็จะหายไปอีก”
“คนดีของพี่”

หญิงสาวผมยาวกอดรัดเด็กสาวผมสั้น ต่างเวียนจูบหอม ด้วยเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันในที่ส่วนตัว ไม่มีใครอื่น
เดินช้าๆ เถิดนะนาฬิกา สุดคะเนนึกวอน


เสียงย่ำน้ำเข้าตึกมาอีกครั้ง เค็นคงกลับมาแล้ว

“พี่ดาวอยู่ค้างใช่มั้ยคะคืนนี้” สุดคะเนถามเสียงถามแผ่ว กลั้นใจฟังคำตอบ
“ค่ะ”
เด็กสาวผมถักเปียที่หิ้วถุงผลไม้ขึ้นบันไดมาชะงัก เมื่อเห็นรองเท้าหน้าห้องริมสุดและยินเสียงลอด
“งั้นพี่ดาวอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย ไปค่ะ คะเนหาเสื้อให้”
ถึงหน้าประตูห้องเจ็ด แต่ร่างเล็กยังรีรอที่จะไขเข้าห้อง จนเค็นเดินขึ้นตึกมาพร้อมถุงส้มตำ

“อ้าว กระต่าย ไหนว่ามีเรียนดนตรี”
“ใครมาน่ะพี่เค็น ไม่เคยเห็นรองเท้ามาก่อนเลย”
เค็นทำหน้าเหวอมาก
“โฮ้ย! น้องสาวชั้น จำรองเท้าคนทั้งประเทศได้ด้วยเหรอนี่”
“ไอ้เค็นบ้า!” กระต่ายด่าแต่สายตายังเหลือบแลยังประตูที่ปิดสนิท
“บอกหน่อยสิ ผู้หญิง ผู้ชาย เพื่อนคนไหนของพี่คะเน”
“แฟนเค้ามั้ง” เค็นตีหน้าตาย “สาว สวย งาม...เหมือนเดินออกมาจากวรรณคดีแน่ะ”

กระต่ายหน้าซีดเผือด...นางในวรรณคดี คนที่อยู่ในเรื่องเล่า เรื่องสั้น บทกวี และงานเขียนมากมายของพี่สุดคะเน
...คนนั้นนะหรือ....



ตีพิมพ์ครั้งแรก

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1360 วันที่ 08 กันยายน พ.ศ. 2549