06 May 2007

16 บนฟ้า

[สุดคะเนจ๊ะ...
ฉันอ่านผลงานของเธอจากไหนก็ช่างเถอะนะ
อาจจะเป็นที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเธอเคยส่งไปตั้งแต่หลายปีก่อน
แล้วฉันก็เคยเห็นเพียงฉบับเดียว ไม่เคยเห็นฉบับอื่นอีกเลย
จะสำคัญอะไรล่ะว่าใครเป็นคนรับ ในเมื่อฉันได้พบเธอแล้ว...

แต่ถ้ามันสำคัญสำหรับเธอ...ไว้มีโอกาสเจอกัน ฉันจะเล่าให้ฟัง
ดีใจที่เธอบอกว่าอยากเจอฉัน แต่ฉันไม่ได้น่ารัก
ไม่ได้ใสอย่างตัวหนังสือที่เธอเห็นหรอกนะ
เอ๊ะ คะเนเป็นคนที่ไม่ชอบคาดหวังใครนี่นา...”]



ยังคงมีสายลมเหมือนทุกวัน หูกวางผลัดใบ
เด็กๆ เล่นฟุตบอลส่งเสียงเอะอะมาจากด้านหลังบ้าน
สุดคะเนถอดรองเท้าหน้าห้อง ชำเลืองดูไม้ในกระถาง
ดินแห้งผากทั้งที่ให้น้ำทุกเช้าเย็น
ห้องหมายเลขเจ็ดยังปิดเงียบ
เปิดห้อง วางกระเป๋า นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเปิดเพลงที่ฟังซ้ำหลายวันมานี้

“...ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันพลบค่ำ ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่นใจ
ใต้ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว
จะอายทำไมกับพระจันทร์”

แมวน้อยลายเหลืองวิ่งมาหยุดหน้าระเบียง ส่งเสียง “แอ๊ว”



[...ฉันมีเพื่อนทางจดหมาย 2 คน
คนหนึ่งรู้จักกันมาสิบสามปีเข้านี่แล้ว
นึกถึงตอนรู้จักกันทีไรก็ยิ้มได้ทุกที
ฉันเขียนการ์ตูนไปประกวดที่หนังสือชัยพฤกษ์ เผอิญได้ตีพิมพ์
เพื่อนคนนี้เกิดรักแรกพบกับการ์ตูนของฉัน เลยเขียนจดหมายมาหา
โอ๊ย มีความสุข เขียนกันไปมาเป็นร้อยๆ ฉบับ
บางฉบับหนาเตอะยังกะเขียนรายงาน อยากเจอกันแทบตาย
แต่อยู่ห่างกันคนละจังหวัด จนฉันเข้ากรุงเทพฯ ตั้งนานถึงได้เจอกัน
ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าอะไร

แล้วเชื่อไหม ตลอดเวลา 13 ปี
ได้พบหน้ากันจริงๆ 2 ครั้งเท่านั้น เป็นเวลาที่น่ารักและน่าจดจำ
เรารักกัน สนิทกันมากขึ้น โทรศัพท์คุยกัน ปรับทุกข์ปันสุข
เพื่อนบอกว่าเมื่อคิดถึงก็อยากคุยเลย ใช้โทรศัพท์เร็วกว่าเขียน

...ฉันยังเขียนอยู่นะ แต่เพื่อนมักตอบกลับมาเป็นโทรศัพท์มากกว่า...
แม้ความผูกพันระหว่างเราจะแน่นแฟ้น ใกล้ชิดกันมากขึ้น
แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนสูญเสียบางอย่างไป
ถ้าเราพบกัน...สุดคะเน...เธอยังจะเขียนจดหมายถึงฉันเหมือนเคยหรือเปล่า”...]



“หิวหรือ?”
สุดคะเนนั่งลง ยื่นมือแตะหัวที่มีลายสวย
แมวน้อยตอบทันที “แอ๋ว” แล้วลงนอนเกลือกกลิ้งให้ท่า

เด็กสาวยิ้มออก “งั้นรอเดี๋ยว อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ”

เดินกลับเข้าครัวเล็กๆ
ในแสงสว่าง ลูกกรงเหล็กดัดดูกระด้าง เปื้อนคราบฝุ่นละออง
แว่วเสียงครวญในคืนมืดมน รีบสลัดบางภาพในทรงจำทิ้ง
อาหารบางอย่างแปลกใหม่เมื่อได้ชิม พออิ่มก็นึกพิศวงว่ารับเข้าไปทำไม
ค้นหาของเหลือในตู้ แทบไม่มีอะไรเลย นอกจากหมูทอดชิ้นเล็กๆ
จะเป็นอันตรายกับสุขภาพเจ้าสี่ขานั่นไหม?
สุดคะเนตัดใจ ล้างหมูซ้ำๆ ในน้ำสะอาด
ฉีกเป็นเส้นฝอย ชิมดูจนแน่ใจว่าไม่เค็มเกินไป
กลับออกมา เจ้าตัวดียังตาแป๋วอยู่กับที่ ไม่วุ่นวาย ไม่หลบหนี

“มา...กินนี่ไปก่อน” เรียกก็เข้าหา สุดคะเนนึกเอ็นดูจับใจ
แมวที่บ้านของ The Moon สีแบบนี้หรือเปล่านะ



[คะเนจ๊ะ...เสียใจกับเธอด้วยเรื่องแม่
ชีวิตเป็นอย่างนี้ละนะ
ได้รับและสูญเสีย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
ใกล้ๆ เวลาที่แม่ของคะเนป่วย คุณยายของฉันก็อยู่โรงพยาบาลเหมือนกัน
ฉันลาพักร้อนไปเฝ้าคุณยาย โรงพยาบาลอำเภอเล็กๆ
ตั้งอยู่ใกล้ๆ ภูเขา อากาศหนาวจับใจ
ฉันนั่งกอดอกอยู่ข้างเตียง มองใบไม้สีเหลืองที่กำลังจะหล่นจากกิ่ง
รู้สึกเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก

เพราะอะไรรู้ไหม...
คุณตาคุณยายเป็นความสวยงามของชีวิตฉัน...อาจจะยิ่งกว่าพ่อกับแม่
ฉันเพิ่งสูญเสียคุณตาไปตอนปีใหม่ พอใกล้สิ้นปี คุณยายก็ล้มเจ็บ
เจ็บอย่างทรมานด้วยโรคมะเร็ง ของขวัญปีใหม่ทั้งสองปีติดต่อกันที่ฉันได้รับ
คือการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก
แล้วรู้ไหม...อ่านจดหมายของคะเน ฉันร้องไห้อยู่ในใจ
ได้ยินเหมือนเสียงคุณยายเรียกเหมือนเคย อยากกอด อยากพุดคุยด้วย
อยากให้มือเหี่ยวย่นแต่อบอุ่นลูบหัวเหมือนเคย
คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงแสงตะเกียงและเสียงขลุ่ยข้างมุ้งสีขาว
ที่คุณตากางให้ทุกคืน ทุกอย่างแจ่มชัดเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
จริงๆ แล้ว ไม่มีใครตายจากเราไปได้หรอก ตราบที่เรายังรักเขาอยู่...]



“ค่อยๆ กินก็ได้”
สุดคะเนบอกกับแมวน้อย

“แอ๋ว” เสียงตอบหวานใส สลับเสียงเคี้ยวฮึ่มฮั่มๆ

“พี่คะเนขา...” กระต่ายวิ่งพรวดขึ้นบันไดมาเหมือนเคย
แมวน้อยตกใจสะดุ้งสุดตัว วิ่งแผล็วทั้งที่อาหารคาปาก

“อุ้ย! แมว...มาจากไหนคะ” กระต่ายตาโต

“จากไหนก็ช่างมันเถอะ เดินเบาๆ ไม่เป็นหรือไงกระต่าย”

เด็กสาวหน้าเสีย สุดคะเนชะโงกหาแมวน้อย ตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ

“หนูแอ๋ว...ไปไหนแล้วล่ะ มากินให้หมดซี”
อีกครั้งที่กระต่ายยืนนิ่ง ความน้อยใจพุ่งขึ้นเป็นริ้วๆ
แต่คนที่ห่วงแมวมากกว่าคนยังไม่สนใจสักนิดเดียว

“พี่คะเนคะ”

“...คะ”

เสียงเรียบ เหมือนไม่เคยใกล้กัน...อีกแล้ว

“อาทิตย์นี้ กระต่ายกับเพื่อนๆจะลองไปเล่นเปิดหมวกกันดูค่ะ
พี่คะเนไปให้กำลังใจกระต่ายมั้ยคะ”

“ดูก่อนนะ ไม่แน่ใจ พี่อาจมีงานข้างนอก”

เด็กผมเปียหน้าสลด
ความเจ็บปวดที่ไม่คิดว่าจะมีซึมแทรกเข้ามาเหมือนไฟไหม้กระดาษ

ตาดำยังมองอย่างเฉยเมย
ประสบการณ์ระยะสั้นบอกกับหนูน้อยว่า
พี่คะเนจะดีกับเธอเมื่อ...อยู่ในโลกเร้นลับเท่านั้น

ฝืนยิ้ม บอกกับรุ่นพี่ว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นกระต่ายไปเตรียมอาหารนะคะ พี่คะเนหิวหรือยัง”

“ไม่รอกินกับเค็นหรือ”

“เค็นไปบ้านเพื่อนอีกแล้วค่ะ ถ้าพี่คะเนยังไม่หิว ยังไม่ทำก็ได้ค่ะ จะได้ทานตอนร้อนๆ”

สุดคะเนถอนใจ ก้มลงเก็บเศษอาหารที่หนูแอ๋วกินทิ้งไว้ เสียงอ่อนลง
“ทำเลยก็ได้ค่ะ กระต่ายจะได้ทำการบ้านเร็วๆ...
แต่ที่จริง ไปกินข้างนอกก็ได้นะ ไม่ต้องเหนื่อยหรอก”

“เหรอคะ!” กระต่ายตาใสขึ้น “พี่คะเนว่างไปได้หรือคะ”

“รีบไปรีบมาไหมล่ะ กินอะไรง่ายๆ หน้าปากซอยแล้วกัน”

“ดีค่ะ” กระต่ายกระโดดเข้าหอมแก้ม “พี่คะเนน่ารักที่สุดเลย...”



[...คะเนจ๊ะ
บ้านริมคลองคงเป็นที่รวมความสวยงามในชีวิตของเธอสินะ
คะเนเล่าจนฉันรู้สุกอบอุ่นไปด้วย นึกรักบ้านของเธอขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยเห็น
คงเป็นอย่างที่ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า...

A house is made of brick and stone...
A home is made of love alone.

เธอคงเหนื่อยน่าดู การอยู่ในกรุงเทพฯ บางครั้งต้องต่อสู้มากมาย
กอง บ.ก. มีกี่คนนะ คะเนต้องรับกี่คอลัมน์...
ถ้ารู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ อยากให้รับรู้นะว่ามีเพื่อนที่เอาใจช่วยเธออยู่
อยากให้ทำงานอย่างมีความสุข...]



หายไปแล้ว เจ้าแมวเหมียว
สุดคะเนยังคงมองหา พยายามส่งเสียงเรียก

“แอ๋ว...หนูแอ๋ว” แต่ไร้การตอบรับ

กระต่ายกำลังรีบเร่งเปลี่ยนเสื้อผ้า เสียงกุกกัก โครมคราม
“โอ้ย!”
หกล้มอีกแล้วกระมังเด็กซุ่มซ่าม

ครู่ใหญ่ กว่าจะออกจากห้องด้วยแก้มเปล่งปลั่ง
รวบผมขึ้นสูงเปิดให้เห็นต้นคอเกลี้ยงเกลา
เวลาอยู่นอกเครื่องแบบนักเรียน เด็กคนนี้โตขึ้นผิดตา

“พร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
สุดคะเนขมวดคิ้ว

“แต่งหน้าด้วยหรือนั่น ไปกินข้าวแค่นี้เอง”

“...ทาลิปนิดเดียว” กระต่ายเข้ามาคล้องแขนอย่างสนิทสนม
จะไม่ให้สนิทได้อย่างไร ในเมื่อ...

“น่า...ทำเป็นคนแก่ไปได้ เดี๋ยวนี้เด็กๆ เค้าไปถึงไหนๆ แล้วจ้า”

“พี่รู้ดี เรื่องนั้นน่ะ”

“แป่ว...” กระต่ายยังใจดีสู้เสือ
เธอต้องอดทน เด็กสาวบอกกับตัวเอง
พี่คะเนเป็นคนอ่อนไหวจะตาย ทำเป็นเย็นชาอย่างนี้
เดี๋ยวเถอะ กระต่ายเริ่มรู้แล้วว่าต้องใช้ไม้ไหน

“พี่คะเนชอบทานผักบุ้ง...กระต่ายจำได้ เดี๋ยวจะสั่งไฟแดงให้นะคะ
กับแกงจืดสาหร่ายดีไหมคะ เอาร้านข้าวต้มอาเฮียนะคะ”

[“คะเนจ๊ะ
...ดึกแล้วล่ะตอนนี้ บ้านเงียบสงัด
อยู่คนเดียวยิ่งรู้สึกว่าเงียบมากเหลือเกิน
ฉันกำลังฟังเพลงจากเทปที่ร้องว่า...
โอ้ยอดรัก ฉันกลับมา จากขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล
จากโคนรุ้งที่เนินไศล...จากใบไม้หลากสีสัน…
คะเนคงได้อ่านจดหมายของฉันเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว
คืนนี้เธออยู่คนเดียวหรือเปล่า...ห้องเล็กๆ ของเธอคงน่ารักเหมือนเคยสินะ
เอ...แล้วถ้าฉันกับเธอได้พบกัน เราจะไปเยี่ยมบ้านใครก่อนดี



อย่าเหงานะคืนนี้...
ไม่ว่าเธอจะมีเรื่องเศร้าหรือสุข บนฟ้าก็มีพระจันทร์เสมอนะจ๊ะ…]


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1381 วันที่ 02 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

15 ครั้งที่สอง

กระต่ายน้อยตัวสั่นเทาเมื่อดวงตาเยือกเย็นเบือนมามอง
น้ำเดือดกี่องศา หรือแสงจากพระจันทร์เร้นซ่อน
มีเงามืดในสายตาคู่นั้น หรือเป็นเพราะค่ำคืนเดินทางเร็วเกินไป
เข็มนาฬิกาส่งเสียงเบาๆ จากเหนือหัวนอน
สิ่งที่จู่โจมเข้ามาจึงร้อนสุดร้อน หนาวแสนหนาว จนเหมือนจับไข้

“ว่าไง”
หน้าซีกหนึ่งของสุดคะเนตกในเงามืด
เด็กผมเปียปากคอแห้งผาก น้ำตาเหือดตั้งแต่เมื่อไหร่

“งั้นก็กลับไป...”

“ตกลงค่ะ กระต่ายจะอาบน้ำที่นี่!”

สุดคะเนยกมุมปาก ดูแทบไม่ออกว่ายิ้มหรือหยัน
กระต่ายยังตัวแข็งทื่อเมื่อผ้าเช็ดตัวผืนเดิมส่งมาให้
“...รีบๆ หน่อยก็ดีนะ ไม่อยากเห็นกระต่ายป่วย”


กระต่ายเข้าไปในห้องน้ำ
ขาสั่นเทาเมื่อเอนหลังพิงกับอีกด้านของประตู
มีเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ที่ด้านนอก เป็นครั้งแรกที่กลัวพี่สุดคะเนจนบอกไม่ถูก
เด็กน้อยไม่รู้เลยสักนิด ในบางครั้ง กระแสลึกลับก็สร้างพายุปั่นป่วนได้แม้ในถ้วยกาแฟ
รสชาติหวานหอม บางคราวส่งผลถึงการเต้นของหัวใจ
บางคนเสพติดแม้ในสิ่งที่ตนเองไม่คิดว่าชอบ...
ไม่รู้ตัว ว่าสิ่งที่ทำลงไป ด้วยความติดพัน หลงใหล
หรือเป็นแค่สัญชาตญาณ การ “ได้” มา

มีเสียงเบาที่ประตู กระต่ายสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงแรงผลัก
“เอ้อ...ยังไม่เสร็จค่ะ” รีบร้องบอก

“ทำไมเงียบ?” เสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “ร้องไห้อยู่อีกหรือ”

มีความอุ่นไหลเข้ามาเพราะกระแสเสียงนั้น
เด็กผมเปียรู้สึกเหมือนตัวเองวนว่ายในทะเลเวิ้งว้าง
จู่ๆ ฟ้าก็สว่างใส มีเกาะแก่งให้เห็นแต่ไกล
ใจคอระส่ำระสายค่อยๆ รวมเข้าหากัน
บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งกลัว เท่าที่เป็นอยู่นี้ มากกว่าเคยคิดเป็นไหนๆ
เสียงที่ตอบไปอีกครั้ง จึงเจือความเป็นกระต่ายคนเดิม

“เปล่าค่ะ...พี่คะเนจะอาบด้วยหรือคะ!”


สุดคะเนเท้าแขนข้างหนึ่งกับประตูห้องน้ำ
ขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องถาม
นึกจะตอบว่า “ไม่” แต่อีกใจกลับลังเลเหมือนตรองไม่ตก
ถามใจตัวเองกี่ครั้ง ไม่คิดอะไรกับเด็กคนนั้นมากกว่าความเอ็นดู เห็นใจ
แต่พอคิดจะปล่อยกระต่ายคืนป่า...ไยจึง...


แกร๊ก!


กลอนประตูเลื่อนออก ตัวปัญหาโผล่หน้ามาอย่างหวาดๆ
แต่เนื้อนวลที่โผล่พ้นชายผ้าทำให้ต้องกลืนน้ำลายยากเย็น
กระต่ายในผ้าขนหนูสีน้ำตาล ร่างสูง ผมยาวคลุมไหล่ นัยน์ตาชี้เฉียง
เหมือนเดินออกมาจากเรื่อง Moon Child ของ Reiko Shimizu
จู่ๆ เด็กคนนี้ก็มีอีกด้านเป็นสาวสวย...

“จะอาบให้กระต่ายจริงหรือคะ”

“เอ้อ...” สุดคะเนอึกอัก “ไม่แล้วดีกว่า”
กระต่ายยิ้มถูกใจเมื่อเห็นคนที่ไม่น่าเขินกลับหน้าแดงให้เห็น
ความมั่นใจกลับมา คว้าแขนสุดคะเนดึงเข้าข้างใน

“กระต่ายอาบให้ดีกว่าค่ะ”

“ไม่...” สุดคะเนขืนตัว กระต่ายยิ้มชอบใจ ตักน้ำในถังสีน้ำเงินราดลงบนตัวรุ่นพี่
สุดคะเนเย็นวาบเมื่อน้ำไหลซอนเข้าในเสื้อผ้า

“แกล้งพี่เหรอ!” แย่งที่ตักน้ำคืน กระต่ายหัวเราะเสียงใส

“แกล้งกระต่ายก่อนทำไมละคะ”

“งั้นมานี่เลย...” สุดคะเนผลักเด็กน้อยเข้าชิดมุม เปิดฝักบัวให้ไหลแรง
กระต่ายดิ้นหนีจนผ้าเช็ดตัวเลื่อนหลุด ด้วยความอายรีบยื้อยุดอีกฝ่ายไว้

เนื้อแนบเนื้อ เสื้อของสุดคะเนเปียกชุ่ม กระต่ายผวาเมื่อมองหานัยน์ตาสีดำไม่เห็นแล้ว
มีแต่ผมสั้นเกรียนฉ่ำน้ำ...ให้ไขว่คว้า



คืนนี้พระจันทร์ไปอยู่ที่ไหน

แสงนีออนสว่างจนไม่อยากลืมตาขึ้นเลย
แต่เงาสะท้อนในกระจกยั่วเย้าให้แอบมอง
กระต่ายไม่เคยเห็นตัวเองในภาพเช่นนั้นมาก่อนเลย
ไม่เคยเห็นรุ่นพี่ในภาพแบบนี้ด้วย

“...กระต่ายโตกว่าอายุมากเลยนะ”
เสียงพึมพำ กระต่ายสะท้านเมื่อคำพูดสัมพันธ์กับการกระทำ

“หรือคะ...”

“ใช่...” สุดคะเนเสียงพร่า “นี่นะ พี่มีอะไรจะบอก”

“อะไรคะ”

สุดคะเนไม่ตอบ ปิดน้ำ ดึงผ้าเช็ดตัวเปียกชุ่มพันรอบตัวเด็กสาว
ลูบผมรุ่ยร่าย รีดหยาดน้ำไหลออกบ้าง แล้วจูงมือออกมา
ปิดไฟทุกดวงที่เดินผ่าน ไม่เว้นแม้แต่ด้านหลังซึ่งเปิดออกไปเป็นครัวเล็กๆ
มีซี่เหล็กดัดกั้นขวาง มองออกไปเห็นสนามฟุตบอลยามค่ำคืน
แสงไฟสาดส่องไกลๆ เห็นทางเดินเลียบรั้วเลือนราง

“ทางเดินไปท่าเรือ” สุดคะเนกระซิบบอก “เคยไปมั้ย”

“ยังค่ะ”

“วันหลังจะพาไป มีที่นั่งเล่น วิวสวยทีเดียว”

“ค่ะ”

ไฟดวงสุดท้ายดับลง ภายในห้องมืดสนิท
สุดคะเนพาสาวน้อยไปยืนเกือบชิดตะแกรงกั้น

“ข้างนอกสว่างกว่า...ถึงมีคนมองมาก็ไม่เห็นเราหรอก”

“จะ...ทำอะไรคะ”

“พี่อยากฟังเรื่องของกระต่ายอีก”

“...เรื่องอะไรละคะ กระต่ายเล่าไปหมดแล้ว”

“ยังไม่หมดหรอก เชื่อสิ” กระต่ายหายใจติดขัดเมื่อฝ่ามือนุ่มนวลรั้งให้เอนแนบอก
เสื้อของสุดคะเนยังเปียกปอน แต่ทำไมผิวเนื้อจึงร้อนผ่าวขนาดนั้น

“...พี่คะเน”

“จ๋า”

“กระ...กระต่ายไม่มีอะไรจะเล่า”

“ต้องมีสิคะ”

มือของพี่คะเนซุกซนปานนี้เชียวหรือ กระต่ายใจเต้นรัว
รั้งชายผ้าที่ห่อตัวไว้แต่ไม่อาจต้านทาน
ไม่รุนแรงเลยสักนิด แต่การรุกล้ำสร้างความรวดร้าวสุดทน

“ไหนว่าเก่งนักไง”

“...อย่า...อย่าแกล้งกระต่ายสิคะ”

“ไม่ได้แกล้ง” ริมฝีปากเคลียใบหู “ดูโน่นสิ มีคนเดินมาด้วยแน่ะ”

“อุ้ย! ไหนคะ” กระต่ายตระหนก รีบขืนตัวเมื่อเห็นว่ามีคนมาจริงๆ ด้วย
แต่อยู่ไกลและสูงกว่า จึงเห็นเงาตะคุ่มที่เคลื่อนไปตามเส้นทางอย่างไม่สนใจอื่นใด

“เค้าไม่รู้แน่ๆ ว่ามีใครอยู่ตรงนี้”

“...พี่คะเน”

“ไม่รู้หรอกว่ากระต่ายกำลังรู้สึกยังไง...ใช่มั้ย”

กระต่ายสำลัก ทรงตัวแทบไม่อยู่ มือเอื้อมไปจับซี่ลูกกรงแน่น สั่นเทา
สุดคะเนย่ามใจ กระต่ายตัวนี้แสนโอชะจริงๆ ยังไม่เคยพบใครไร้เดียงสาเช่นนี้มาก่อน

“...ไม่ชอบหรือคะ”

“...มะ...ไม่ค่ะ กระต่ายไม่รู้”

“งั้นก็อย่าดิ้นสิ อยู่เฉยๆ”

“ไหน...ว่าจะให้กระต่ายเล่าอะไรให้ฟัง”

“เล่ามาสิ ว่ากระต่ายเคยคิดถึงพี่แบบนี้หรือเปล่า”

“....เอ้อ...เอ้อ”
“ไม่เคยละสิคะ ไม่เคยคิดว่ามันจะ...เป็นแบบนี้ใช่มั้ยคะ”

“พะ...พี่คะเน...แล้วที่จะบอกกระต่ายล่ะคะ”

“...นี่ไง” สุดคะเนกรอกเสียงหนักแน่น
“...พี่ชักชอบ...เวลากระต่ายอยู่ในเงื้อมมือพี่”

กระต่ายจะตายแล้ว ใครก็ได้ช่วยที!
เด็กสาวมองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป
ตัวสั่นระริกเพราะถูกสั่งสอนจากคนชำนาญ ไอร้อนผ่านทะลุผ้าเข้าหาแผ่นหลัง
หลับตา กัดริมฝีปากเพราะกลัวจะส่งเสียงดังเกินไป
สุดคะเนก็หลับตา รู้สึกเหมือนละลายไปกับสาวน้อย
พระจันทร์เคลื่อนออกมาในเสี้ยวนาทีแต่แล้วก็ถูกเมฆบดบังอย่างเดิม
เงามืดตกกระทบอีกครั้ง กลืนใบหน้าสุดคะเนเลือนหาย
ในท่ามกลางเสียงกรีดร้องแผ่วเบา




ครั้งที่สองของกระต่าย.

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1380 วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2550

14 ที่นี่

[สุดคะเนจ๊ะ เคยฟังเพลงนี้ไหม


“...คืนมืดหม่น ไร้ผู้คนหมางเมินห่างไกล
ใครให้กำลังใจ ใครจุดไฟให้เราก้าวนำ
ความทรงจำย้ำเตือน...มิเคยเลือน
อดีตฝังจำ รอยเท้าเคยเหยียบย่ำ ไปตามหนทางเป็นไท...
เคยนอนหนาวสั่น ผิงไฟกันที่ริมท้ายไร่
คุยข้ามเปลผ้าใบ ใจสู่ใจซึ้งในวิญญาณ
...ฟังลำธารไหลริน เสียงยุงบินแทนสื่อสัญญาณ
พาฝันล่องลอยผ่าน ลำธารเสรีพลีธรรม...”

ฉันกำลังคิดถึงพี่ชายคนหนึ่งที่รักมาก เคยสับสนกับชีวิตในเมืองกรุง
ถึงกับดั้นด้นไปหาเขาถึงอุทัยธานี ทั้งที่มีที่อยู่บนหัวจดหมายที่มาจากเขาเท่านั้นเอง
ไปช่วยเขาเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ดูเขาทำเกษตรผสมผสาน ไปนอนดูฟ้าดูดาวกับเขา
เพลงนี้...ก็ฟังครั้งแรกจากเขานั่นแหละ แล้วเลยกลายเป็นเพลงที่เหมือนเป็นกำลังใจ
ร้องบ่อยๆ เวลาท้อ และเวลาที่คิดถึงคืนวันอันแสนดีเหล่านั้น...]

สายลมพัดมาจากไหน ใต้หรือเหนือ หรือจากเมืองแมนแดนใดที่ไม่รู้จัก
สุดคะเนสูดลมหายใจลึกๆ ในมือมีจดหมายฉบับใหม่จาก The Moon
กุหลาบเมาะลำเลิงหน้าห้องเหี่ยวเฉา เพราะแดดแรงหรือลืมรดน้ำกันแน่
จมูกได้กลิ่นโคลนลอยขึ้นจากบึงหมาดน้ำข้างอพาร์ทเม้นท์
ฝนทิ้งช่วงไปแล้ว ผักตบชวาชูช่อสวย มีชีวิตแม้ในแอ่งน้ำขังเพียงเล็กน้อย
เช่นเดียวกับดอกไม้สีม่วงอีกชนิด แตกดอกรูประฆังในกระถางผุ
หูกวางข้างสนามหญ้าร้างซึ่งกลายเป็นลานฟุตบอลของเด็กๆ ไปเสียแล้ว
ผลิใบหรือสลัดใบ?

แปลกจริง สุดคะเนรู้สึกว่าตัวเองแยกแยะอะไรต่อมิอะไรยากเหลือเกิน
มีเสียงเล็กๆ พยายามพูดอะไรสักอย่างข้างใน
เหมือนเสียงจากต้นส้มของเด็กชายเซเซ่ หรือเป็นคำกระซิบของภูติพราย

[…เฮ้อ ดูเถอะ อุตส่าห์เป็นแม่สาวใจกล้า บุกไปค้างอ้างแรมกับเขาได้
แต่ความรู้สึกในใจไม่เคยบอกเขาสักที เขาก็ดี๊...ดี
ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีของน้องสาวตลอดมา...จนกระทั่งทุกวันนี้
(ยังกะตอนจบของนิทาน)
แต่ว่า...แบบนี้อาจจะสวยงามกว่าก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าถ้าบอกแล้ว
เขาจะยังอ่อนโยน และยอมเราทุกอย่างแบบนี้ไหม...]

สุดคะเนหน้าร้อนผ่าว The Moon หรือพระจันทร์คนนี้มักมีคำพูดกระทบใจ...
โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งแสนซื่อ กล้าไว้ใจคนแปลกหน้า
หรือว่า...คนอื่นไว้ใจได้ เว้นแต่...



“ทำอะไรอยู่คะพี่คะเน!”
กระต่ายร่าเริง กระโดดขึ้นบันไดแทบไม่พัก แก้มสีชมพูจัดเมื่อยืนหน้าห้องหมายเลข 8

“เหนื่อยจังเลยค่ะ วันนี้รถเมล์แน้นแน่น หิวน้ำจัง...”
ขายาวๆ เตรียมก้าวเข้าข้างใน

แต่เจ้าของห้องลุกขึ้นเสียก่อน พูดเสียงเรียบ
“เค็นกลับมาแล้วนี่คะ”

กระต่ายหน้าเผือดไปทันที ตาเปล่งปลั่งสลดวูบเหมือนดาวตก พูดเสียงเบา
“ยุ่งอยู่หรือคะ”

“ค่ะ”

เด็กผมเปียพูดไม่ออก ตาเหลือบเห็นจดหมายบนโต๊ะ
“เอ๊ะ! จดหมายใครกันคะ มีมาบ๊อยบ่อย”

สุดคะเนเก็บทันที แต่กระต่ายมือเร็ว คว้ามาได้แผ่นหนึ่ง อ่านออกเสียงดังๆ
“...ไม่รู้ทำไมเล่าให้สุดคะเนฟัง อ่านจดหมายของเธอแล้วความคิดเพริดไปไหนต่อไหน
บางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกันสักนิด ฉันก็เป็นอย่างนี้ บางคน (หลายคน)
บอกว่าฉันเป็นคนเข้าใจยาก เป็นพวกซับซ้อนซ่อนเงื่อน
(ฉันชอบอกาธา คริสตี้จัง...เธอชอบไหม) เป็นพวกสับสนกับวันเวลา
บางทีดูอะไรอยู่ ฉันก็พูดเรื่องที่มันไกลแสนไกลจากสิ่งที่กำลังดู
ฮื้อ...ช่างเถอะ ใครจะไม่เข้าใจ
คะเนฝากความคิดถึงมากับแสงดาว...
ดูสิ ฉันรีบออกไปแหงนดูฟ้าจนเมื่อยคอก็ยังไม่เห็นสักดวง...”

กระต่ายมีสายตาแบบนั้นด้วยหรือ?
สุดคะเนเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อเสียงอ่านจดหมายหยุดลง
อยากทุบหัวตัวเองอีกสิบรอบที่เผลอไปกับเนื้อความเช่นกัน...

“...คิดถึง...”

กระต่ายเสียงเบามาก นั่นใช่น้ำตาหรือเปล่า?
หรือเป็นเงาสะท้อนของแดด?

“เค้าเป็นใครหรือคะ...ไม่ใช่คนที่เคยมาใช่มั้ย”

“อย่ายุ่ง! เรื่องของพี่”

มีเสียงเล็กๆ อีกแล้ว พูดอะไรจับความไม่ได้ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง

...คนเราทำร้ายกันด้วยเหตุใด...

สุดคะเนหันรีหันขวาง ตะเพิดไล่
“ไปได้แล้ว! วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก ห้ามยุ่งของๆ พี่!”

มือกระชากจดหมายกลับ พับลงซองอย่างทนุถนอม
กระต่ายยังเบิ่งตากว้าง ก่อนน้ำตาจะไหลช้าๆ ไร้เสียง

สุดคะเนประตูปิดดังปัง!



ไม่เห็นพระจันทร์เลยคืนนี้
นาฬิกาบอกเวลาไม่ถึงสี่ทุ่ม แต่เหมือนเงียบและมืดกว่าทุกวัน
สุดคะเนยังไม่ได้อาบน้ำเลย พิมพ์ดีดบรรจุกระดาษว่างเปล่า
อีกหลายแผ่นถูกขยำเกลื่อนพื้น
ถอนใจ ดึงสีนวลจดหมายจากซอง


[…แต่ที่นี่ คืนนี้เมฆเต็มฟ้าเทียวจ้ะ
สงสัยความคิดถึงของเธอคงต้องทำงานหนักสักหน่อยละจึงจะฝ่าเมฆหมอกลงมาได้
แต่คงไม่ยากหรอก เพราะดูท่าทางมันจะแข็งแรงดีอยู่ (มีรูปก้อมเมฆยิ้มแฉ่ง)

...อยากฟังเพลง...ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีแง่งาม …
ของใครกันหรือจ๊ะ ความจริงฉันรักเพลงลูกทุ่ง โก่งคอร้องอยู่บ่อยๆ
ชอบเพลง...หอมเอยหอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง ...
หรือไม่ก็...ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำระงมไปทั่วท้องนา ...
อีกเพลงน่ารักเชียว เคยได้ยินมั้ยที่ร้องว่า...เกิดในนาป่าดอน แขนไม่อ่อนเหมือนสาวกรุง
หน้าไม่เคยแต่งปรุง งานในท้องทุ่งมีทั้งวัน ปากไม่แดงช่างมัน ฉันเป็นสาวภูธร ...
ฟังแล้วหลงรักสาวชนบทน่าดู
ฉันว่าเพลงลูกทุ่งมีกลิ่นอายของชีวิต มีความรู้สึก และมีอารมณ์ละมุน
ซื่อและจริงใจ หรือเธอว่าไงจ๊ะ เธอชอบหรือเปล่า...]

เพลงลูกทุ่งงั้นหรือ...
สุดคะเนนึกถึงเพลงที่เคยฟังตอนเด็กๆ เพลงหนึ่ง
...โลกหมุนให้เราพบกันชั่วครู่ชั่วคราว แต่เราไม่มีกุศล...
จำได้ลางๆ ว่า เคยยืนในแสงแดดอุ่นฟังเพลงของนักร้องคนนี้ที่กังวานไปครึ่งหมู่บ้าน
ทั้งที่ดังมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กๆ เพราะใครที่ได้ยินก็มักจะร้องตาม...

The Moon ทำให้หวนคิดถึงอดีตที่ล่วงไปแล้ว...อีกแล้ว



ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบาๆ แต่แล้วหยุดไป
สุดคะเนชะงัก เงี่ยหูฟัง แต่ก็เงียบนานเหลือเกิน
จนกระทั่งได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ หน้าห้อง
...เสียงฝีเท้าเดินออกไป

“กระต่าย...!”
ลุกพรวดไปเปิดประตู เด็กผมเปียหันมา
ในความสลัวยังเห็นดวงตาแดงช้ำ ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยหรือไง?

“เค็นล่ะ” ถามอะไรไม่รู้ แต่กระต่ายก็ตอบ

“ออกไปข้างนอกแล้ว ทะเลาะกัน”

“เด็กโง่”
สุดคะเนว่า แต่แล้วก็ดึงข้อมือคนเจ้าน้ำตาเข้ามาในห้อง

“เข้ามาก่อน เดี๋ยวใครเห็นเข้าจะไม่ดี”

“ไม่เห็นเป็นไร” กระต่ายดึงมือกลับ

“ไม่เคยร้องไห้กันบ้างหรือไง ยุ่งสิจะด่าเข้าให้”

“ยังปากดีอยู่อีก” เช็ดน้ำตาให้

“ดูสิ เลอะเทอะเป็นแมวแล้ว ร้องไห้น่ะไม่แปลกหรอก แต่คนจะสงสัยว่าเพราะอะไร”
พูดจบก็นิ่งไปเอง

“ช่างเถอะ”
ใจส่วนไหนกันหรือที่อ่อนเป็นผืนดินโดนน้ำ
หรือกุหลาบเมาะลำเลิงที่หน้าห้องเหี่ยวเฉาให้เห็น จึงเห็นใจ

“ดึกแล้วนะ ยังไม่อาบน้ำอีก อยู่ชุดเดิมแบบนี้ไม่เหม็นตัวเองหรือไง”
ปากพูด มือเสยผมที่ระปิดแก้ม กระต่ายตัวสูงแข็งขืน
แต่หัวใจก็แบ่งเป็นสองฟากเหมือนกัน ฝั่งหนึ่งบอกให้ไป...รีบๆ ไปเสีย
อีกฝั่งรั้งว่าอยู่ก่อนเถอะนะ...เค้าอุตส่าห์ดีด้วย

“ผมก็ยาว แห้งช้า ระวังจะเป็นหวัด”

สายตากระต่ายมองไป
จดหมายฉบับเดิมอยู่นอกซองเหมือนเดิม...ยังวางข้างโต๊ะทำงาน

สุดคะเนมองตาม ผลักกระต่ายออกห่างจนเด็กน้อยหน้าเสียอีกครั้ง
มือสีน้ำตาลเก็บจดหมายเข้าซอง พูดเรียบๆ โดยไม่หันมาสักนิด



“กลับไปอาบน้ำก่อนมั้ย หรือจะอาบที่นี่...ให้พี่อาบให้?”

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1379 วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2550

23 January 2007

13 ราตรีสวัสดิ์

กระต่ายใจหายวาบ
เมื่อเห็นเจ้าของห้องลุกไปนั่งข้างเตียง
เหมือนคนข่มกลั้นอะไรบางอย่าง
ในสำนึกของเด็กน้อยคิดว่า...เธอทำอะไรพลาดไป

“...พี่คะเนคะ...กระต่ายขอโทษ”
กระต่ายคิดแค่นิดเดียว ขยับมานั่งซ้อน สอดแขนกอดเอวรุ่นพี่ แนบใบหน้าลงแผ่นหลัง

“ให้กระต่ายอยู่ด้วยเถอะนะคะ”

สุดคะเนสูดลมหายใจลึก
สาบานได้ว่าเกลียดช่วงเวลาแบบนี้ที่สุด
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในเสี้ยวนาที...
เสียงของกระต่ายที่บอกถึงอารมณ์เร้นลับ
...จุดประกายบางสิ่ง เหมือนแกล้งจุดไฟ
ยิ่งไม่รัก ไม่ชอบ...ง่ายที่จะปล่อยใจ

“ปล่อยพี่ดีกว่ากระต่าย”

“ไม่ค่ะ...”
กระต่ายรัดแขนแน่นกว่าเดิม สิ่งที่ไหลเวียนในกายหายไปหมดแล้ว
เหลือแต่ความรู้สึกว่า...ทนไม่ได้ ถ้าจะไปจากห้องนี้ คืนนี้

ขณะที่สุดคะเนตรงกันข้าม
“อย่าเล่นกับพี่นะ กระต่าย เราน่ะ ยังไม่รู้จักพี่ดีพอ”

“กระต่ายรู้” เด็กน้อยยังเสียงแข็ง
“พี่คะเนดีกับกระต่ายที่สุดแล้ว ดีกว่าใครๆ ในชีวิต”

“กระต่ายอายุแค่สิบเจ็ด” สุดคะเนลงน้ำหนักเสียง
“จะมาชีวงชีวิตอะไรกัน...ปล่อยพี่เถอะ”

“ไม่”

“ปล่อย!”

“ไม่!”

สุดคะเนสลัดตัวเต็มแรง กระต่ายแทบล้มหงายหลัง
ด้านนอกของตึกที่สูงเพียงสองชั้นและมีแค่ 8 ห้อง
พระจันทร์กลีบส้มเคลื่อนเข้าซ่อนใต้เมฆ

หมอนที่หยิบมาด้วยร่วงตกลงข้างเตียง
กระต่ายหายใจติดขัดเมื่อนัยน์ตาดำมองเหมือนคิดแล้วคิดอีก
แปลกอีกแล้ว...ทำไมสายตาแบบนั้นทำให้กระต่ายรู้สึก...
จันทร์ลับเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ฟ้ามืดกว่าเดิม สุดคะเนปิดสวิชท์ไฟ



ในความมืด
รสจูบจากรุ่นพี่ทำให้กระต่ายแทบสำลัก หวาน ร้อน
แต่ก็ทำให้หนาวจนอยากปล่อยเสียงคราง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

สำหรับสุดคะเน เหมือนจู่ๆ ก็มีอาหารใหม่มาให้ชิม
ขนมหวานชิ้นนี้สดนัก ไม่สุกก่ำแก่จัดเหมือนอื่น
แต่ตึงปริด้วยความหวานหอมที่รอการคลึงเคล้า
หรือจะเหมือนผลไม้ใกล้สุก อีกนิดเดียวเท่านั้น
แค่ชั่วปลายนิ้ววน ก็จะคลายรสชาติแท้จริงออกมา
ริมฝีปากลากไล้ไปตรงไหน ก็มีแต่ความไร้เดียงสา

“...พี่คะเนคะ...”
หนูน้อยพยายามรั้งแขนเคลื่อนไหว

“คะ” สุดคะเนตอบด้วยจูบ

“...พะ....พอเถอะค่ะ”

“ไม่”

กระต่ายรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้
มากกว่าที่เคยคิดเป็นไหนๆ...อย่างนี้เองหรือ ที่คนมีใจต่อกันแสดงต่อกัน

พี่คะเนกำลังมีใจให้กระต่ายใช่ไหม
เด็กน้อยสะดุ้งผวาเมื่อรู้สึกถึงสิ่งที่ล่วงล้ำเข้ามาแตะต้อง
แล้วความรู้สึกเหล่านี้มาจากไหน ทำไม...มากมายเพียงนี้

เหมือนเมฆที่ตั้งเค้าทีละนิด...กระไอบรรยากาศละลายหลอมรวม
กระต่ายเหมือนเดินอยู่ในวันที่อากาศชื้นจนอยากหลบให้พ้น
ที่ไหนก็ได้ แต่ไยสายฝนทั้งร้อน ทั้งเย็น สุดฉ่ำ
หยดน้ำร่วงไหล...หยาดไหล...กระต่ายผวาแล้วผวาอีก
ส่งเสียงอู้อี้เพื่อบอกซ้ำๆ ว่า

“พอ...พอนะคะ”

แต่ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ

สุดคะเนพลิกตัวลงนอนข้างๆ หายใจช้าลง
ขณะเด็กน้อยข้างตัวหายใจแรงกว่านัก เหมือนตัวยังไม่หยุดเคลื่อนที่
เหมือนมีใครรั้งแรงๆ ให้ยังกระตุกเป็นลูกโป่งใกล้ขาดลอย
กระทั่งเสียงหายใจช้าลง...เสมอกัน

“................................”

“พี่คะเน....”
กระต่ายพลิกตัวเข้าหา สอดแขนกอดร่างอุ่นอย่างสนิทสนมกว่าเดิม

“...กระต่ายไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย”
พูดแล้วยังอาย ซุกหน้าเบียดไหล่ แต่สุดคะเนนอนนิ่ง

“...พี่คะเนละคะ...รู้สึกเหมือนกระต่ายหรือเปล่า”
ด้วยความตั้งใจและพยายามเรียนรู้
กระต่ายป่ายมือเข้าหาเหมือนถูกสอนมาหยกๆ แต่โดนปัดออกทันที

“ไม่ต้องค่ะ”

กระต่ายหน้าเสียทันที

“...ไปเข้าห้องน้ำเถอะ ขอพี่นอนคนเดียวสักพัก”

กระต่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คว้าผ้าห่มพันตัวเตรียมลุก
สุดคะเนชำเลืองมอง แล้วลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวจากตู้ส่งให้

“ไม่มีอะไรหรอก...” เสียงอ่อนลง
“พี่เริ่มง่วงแล้วน่ะ กระต่ายจะอาบน้ำอีกก็ได้นะ ใช้ของในห้องน้ำได้ทุกอย่าง”

เด็กผมเปียที่ตอนนี้ผมยุ่งรุ่ยร่ายไปหมดแล้ว หายเข้าห้องน้ำไป
สุดคะเนกลับมาล้มตัวนอนบนเตียง รอยยับย่นยังอยู่...
อยากทุบหัวตัวเองแรงๆ อีกแล้ว...ปล่อยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว
ทำไมเธอถึงเป็นคนแบบนี้

เสียงเปิดฝักบัวอาบน้ำ กลิ่นสบู่ลอยมา ในห้องน้ำมีแสงลอดส่อง
ในใจหนักอึ้งกับสิ่งที่ผ่านไปในเสี้ยวเวลา
แต่ก็แปลก...อีกใจ มีเสียงบอกว่า มันคงไม่เลวร้ายอะไรนักหนา


………………………….

[“ทำไม...ฉันต้องอยากมีอะไรกับเธอด้วยนะ”

“ก็เป็นธรรมชาตินี่นา”]

………………………….

[ดาวมิได้เฝ้าเรียกร้องถึงสิทธิอะไรทั้งนั้น
คะเนจะมีใคร...อยู่กับใคร...ที่ไหน ดาวไม่สนหรอก
ขอเพียงบางส่วนความรู้สึกที่คะเนมี แบ่งปันมาให้ดาวบ้าง...
แล้วสักวัน คะเนจะแรมไกลไปนิรันดร์ มันคืออนาคต]

………………………….

[รู้หรือเปล่า วันที่ฉันโทรศัพท์ถึงเธอน่ะ
ฉันยิ้มไม่หุบไปทั้งวันเชียวแหละ
เป็นความสบายใจยังไงไม่รู้สิ เหมือนได้พบเพื่อนเก่าที่จากกันมานานแสนนาน
...รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่สุดในรอบปีที่ยกหูโทรศัพท์ถึงคะเน
เธอล่ะ เห็นว่าฉันคิดถูกหรือเปล่า]

………………………….


“พี่คะเนคะ...”
เด็กกระต่ายออกจากห้องน้ำมาแล้ว
ผ้าขนหนูสีน้ำตาลห่อตัว เหมือนกุหลาบแรกตูม มีหยดน้ำเกาะบนผิว
ในความมืด ยังรู้ว่าหน้าคงแดงก่ำ
กลิ่นบางกลิ่นอวลไม่ยอมหาย

“...กระต่ายเสียใจ”

มีน้ำตาอีกแล้ว สุดคะเนอยากตะโกนดังๆ ว่า หยุดร้องไห้เสียทีได้มั้ย!
อะไรๆ ก็มีน้ำตา เรื่องขี้ปะติ๋วก็มีน้ำตา
เพราะน้ำตาและความอ่อนแอนี่ไงเล่า ทำให้อะไรๆ ผิดอยู่ได้ตลอด!
แต่สิ่งที่สุดคะเนทำคือ

“...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ กระต่ายไม่ต้องคิดมาก”

“กระต่ายไม่ได้คิดมาก พี่คะเนต่างหาก...กระต่ายเสียใจที่...เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

“มานี่เถอะ”

สุดคะเนก็คือสุดคะเน
ในลำดับต่อมา กระต่ายก็จึงได้ซุกตัวอยู่กับอ้อมแขนอุ่นๆ...
สำหรับกระต่ายมันอุ่นมากเหลือเกิน

“ไม่มีอะไรหรอกนะ พรุ่งนี้ ทุกอย่างก็จะผ่านไป”

“ค่ะ” กระต่ายรับคำ

“งั้นหลับนะ พรุ่งนี้มีเรียนนี่”

“ค่ะ ตอนเย็นมีซ้อมดนตรีด้วย”

“.......................................”

“ไปฟังกระต่ายไหมคะ”

“เอาไว้ว่างนะ พรุ่งนี้คงยังไม่ได้ พี่มีนัดสัมภาษณ์ข้างนอก”

“ค่ะ”

“หลับเถอะ...ตกลงคืนนี้เค็นไม่ได้กลับมาจริงๆ ใช่ไหม”

“ค่ะ ไปบ้านเพื่อน”

“...ราตรีสวัสดิ์”

เป็นคำพูดทางการเหลือเกิน แต่กระต่ายก็ยิ้มออก
ยืดตัวขึ้นจูบแก้มคนที่นอนหลับตาชาเฉย แตะริมฝีปากอย่างรักใคร่


“ราตรีสวัสดิ์เช่นกันค่ะพี่คะเน”

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1378 วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2550

12 อีกที

กลับถึงห้องกันเมื่อเย็นมากแล้ว
สุดคะเนพบจดหมายอีกสองฉบับจากพี่ดาว
แต่ไม่มีใจอยากอ่าน เพียงวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ

รูปของน้ำตาล...ใบหน้าชาเฉยที่มองมาเหมือนถามว่า
“ไม่คิดถึงกันจริงหรือ” ยังวางบนชั้นหนังสือ
รูปสุดท้ายจากในครัวเล็กๆ วันที่มีบางสิ่งบางอย่างไปต่อ...กว่าตั้งใจ

[“ฉันอยู่ตรงนี้นะน้ำตาล เป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่เธอจะต้องการ”

“เพราะอะไร…”

“เพราะเราไม่ได้รักกันไง
เราจะไม่มีความคาดหวังต่อกัน...ไม่ใช่หรือ
ความสัมพันธ์ของเราก็จะดีไปตลอด
หรือถ้าเธอไปมีแฟน มีคนอื่น ฉันก็ไม่มีปัญหา”

“แล้วถ้าฉันมีล่ะ บอกตามตรงนะคะเน ฉันหวงเธอ”

“ก็อย่าหวงสิ ฉันสนุกกับการเจอคนอื่น
แต่อย่าลืมว่าฉันนอนกับเธอ”

…………………
“ทำไม...ฉันต้องอยากมีอะไรกับเธอด้วยนะ”

“ก็เป็นธรรมชาตินี่นา ...ดีกันนะ วันนี้ถึงตาฉันบ้าง จะทำโทษเธอ”

“...ฉันคงต้องจำซีโมนไปชั่วชีวิต”
………………………

“ผมไม่ชอบความเศร้า...ก็ไม่เชิงนะ
บางทีก็จำเป็นต่อการทำงานเขียนและการทำงานศิลปะ
แต่ลึกๆ ผมคิดว่าความเศร้ามีหลายแบบ”

“แบบไหนบ้างหรือคะ”

“มีความเศร้าจริงๆ กับความเศร้าปลอมๆ
...เอ เด็กแบบคะเนจะเข้าใจมั้ย

มีความเศร้าที่เป็นจริง ที่เราไม่ต้องการ แต่จัดการกับมันยากมาก
กับความเศร้าที่อยู่ผิวๆ ของอารมณ์
เรารู้ว่ามันไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิตเราจริง
เป็นแค่ความวูบๆ ไหวๆ ผมชอบอย่างหลังมากกว่า”

“เราเลือกได้ด้วยเหรอ ว่าจะอยู่กับความเศร้าแบบไหน”

“ได้สิ ถ้าคุณเก่งพอ…ผมก็เศร้าบ่อยนะ เวลาต้องการแรงบันดาลใจ”]



พลิกรูปของน้ำตาลให้หันเข้าชั้นหนังสือไปเสีย
สุดคะเนปาดน้ำตาที่ซึมนิดๆ บอกกับตัวเองว่า
ความเศร้าที่รุกเข้ามาในใจขณะนี้ แค่ความรู้สึกลวงๆ เท่านั้นเอง

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูเบาๆ

“เปิดมาเลยค่ะ พี่ไม่ได้ล็อก”

เด็กกระต่ายในชุดนอนลายการ์ตูน ถือหมอนมาด้วยใบหนึ่ง
สุดคะเนงง

“พี่คะเนยังไม่อาบน้ำอีกหรือคะ” เด็กกระต่ายถาม
“วันนี้สงสัยเค็นจะไม่กลับล่ะ กระต่ายอยู่กับพี่คะเนถึงดึกได้มั้ยคะ”

“เหรอ....” สุดคะเนพยายามคิดให้เร็ว
แต่สมองทำงานช้ากว่าทุกที “ได้สิ งั้นพี่อาบน้ำก่อนนะ”

กลับออกมาอีกครั้ง เห็นเด็กผมเปียกำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนหัวนอน
“หนังสือเล่มนี้ดีนะคะ...แพลทเทอโร แอนด์ ไอ เค้าเขียนถึงลาน่ารักจังค่ะ”

เหมือนภาพซ้อน...ผู้หญิงตาสวย ผมยาวเหมือนเส้นไหม
นั่งตรงนั้น ในมือมีหนังสือเล่มเดียวกัน กลิ่นมะลิเคลือบคลุมจางๆ

[“ไม่ทำงานหรือคะ”

“คะ?”

“ก็...คะเนต้องเขียนหนังสือไม่ใช่หรือ ไหนว่าพรุ่งนี้ต้องส่งต้นฉบับแต่เช้า
พี่ไม่กวนนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ… อุ้ย!”

“ใครจะบ้าทำอย่างอื่น มีพี่ดาวอยู่ด้วยแบบนี้”]


“พี่คะเนคะ...”

“คะ?”

เด็กกระต่ายหน้ามุ่ย

“พี่คะเนเป็นอะไร กระต่ายพูดด้วยตั้งหลายที ใจลอยไปไหนไม่รู้
ถ้าไม่ไปอาบน้ำ กระต่ายจะกลับห้องแล้วนะ”

“อ้าว! อะไรกัน” สุดคะเนรีบหันเข้าหาตู้เสื้อผ้า
“โอเคๆ งั้นถ้าพี่ออกมา เตรียมตัวเลยนะ ถ้าเล่าไม่หมด พี่จะทำโทษ...”

“ทำอะไรคะ” กระต่ายหน้าเจื่อน เหมือนกลัวขึ้นมาจริงๆ

สุดคะเนค่อยอารมณ์แจ่มใสขึ้น
“เดี๋ยวก็รู้”



พระจันทร์เสี้ยวยังเป็นรูปกลีบส้ม
แต่เหมือนถูกแทะไปแล้วหน่อยนึง
สุดคะเนนอนเหยียดบนเตียง หลับตา
ฟังเรื่องราวมากมายจากเด็กที่ตั้งใจเล่าจริงจัง

พ่อทำร้ายแม่ แม่มีสามีใหม่ พ่อตาย
กระต่ายเกลียดแม่ หนีออกมาอยู่หอกับพี่ชายสองคน
ทั้งชีวิตที่ผ่านมา...กระต่ายไม่เคยมีใคร

“ก็มีเค็นไง” สุดคะเนพูดโดยไม่ลืมตา
“และจริงๆ แล้ว พี่คิดว่า แม่กระต่ายก็คงเสียใจ...”

กระต่ายพูดว่า
“ค่ะ กระต่ายรู้...แต่ทำใจไม่ได้...กระต่ายเหงาเหลือเกิน”

ความเย็นหยดหนึ่งตกเฉียดข้างแก้ม ลืมตาขึ้น
เห็นเด็กผมเปียอยู่ห่างนิดเดียว ก้มหน้าแต่น้ำตาพรู
คงพยายามเช็ดน้ำตาจนกระเซ็นมาต่างหาก

“กระต่าย...” สุดคะเนชันตัวขึ้น ดึงข้อมือที่ถูตาตัวเองแรงๆ
“ไม่เป็นไรนะ...วันนี้กระต่ายมีพี่อีกคนหนึ่ง”

กระต่ายหัวใจเต้นรัว
ในห้องของพี่สุดคะเนคืนนี้เปิดไฟไว้ดวงเดียว
ห้องอื่นๆ ยังไม่มีใครกลับ หมอนใบโปรดที่หยิบด้วยมาวางข้างๆ
แปลกจัง...ทั้งที่เศร้าใจอยู่แท้ๆ
อะไรบางอย่างที่เคยไหลเวียนในตัวเมื่อโดนสัมผัสจากพี่คะเน
...ก็ตื่นขึ้นอีก

“มานอนนี่มา”
สุดคะเนตบมือเรียกเหมือนพูดกับน้องเล็กๆ
แต่กระต่ายใจเต้นแรงกว่าเดิม

...หยุดเดี๋ยวนี้นะ...หนูน้อยพูดกับตัวเอง
พี่สุดคะเนเค้าแค่ห่วง...ไม่มีอะไรอื่น

“ทำไมช่วงนี้ทำตัวแปลกๆ” สุดคะเนพลิกตัว
เมื่อดึงกระต่ายมานอนข้างๆ สำเร็จ
ตาดำจ้องดูเด็กผมเปียที่น้ำตายังเปื้อนแก้ม

“อย่าคิดมากเลยนะ ผู้ใหญ่มีเหตุผล เหมือนเราก็มีเหตุผล”

“.............................”

“ไม่มีใครอยากให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น
สิ่งสำคัญ...คือการดูแลหัวใจเราเอง อย่าให้มันเว้าแหว่ง...ไปมากกว่านี้”

กระต่ายแทบหยุดหายใจ
เมื่อตาดำสนิทมองในระยะประชิด มืออุ่นยื่นมาเช็ดน้ำตาให้

“ถึงไม่มีใครรักเรา ก็ต้องรักตัวเอง รู้มั้ย”

กระต่ายใจเต้นตึกๆ จนกลัวพี่สุดคะเนจะได้ยิน
ตัวแข็งทื่อ สุดคะเนยิ่งแปลกใจมากขึ้น
ลุกชะโงกในท่ากึ่งนอน พยายามดูหน้าเด็กเคยเก่ง

“พะ...พี่คะเนนอนเถอะค่ะ” กระต่ายเสียงสั่น
“ขอบคุณนะคะ อุตส่าห์ฟังตั้งนาน”

“ง่วงแล้วหรือ?” สุดคะเนยิ้มเจ้าเล่ห์
“ปกติเห็นนอนดึกตอนดื่น เอ หรือจะให้ไปนอนคนเดียวดี”

“เอ้อ...ก็ได้ค่ะ” กระต่ายลุกพรวดพราดขึ้น สุดคะเนรีบตะครุบตัวไว้
“จะไปไหน” ใบหน้าที่ชาเฉยเป็นนิจมีรอยยิ้ม
“นึกจะมาก็มา จะไปก็ไป...ไม่ต้องไปหรอก พี่ไม่ปล้ำหรอกน่า”

กระต่ายสะดุ้งสุดตัว
“เอ้อ...กระต่ายไม่ได้คิด...”

พี่น่ะไม่คิด...แต่กระต่ายต่างหากที่...ไม่กล้าคิดจนจบ
กระต่ายหน้าแดงแช้ด ยังดีที่อยู่ในแสงสลัว

“จริงน่ะ”

พี่สุดคะเนเป็นอะไรไป มานึกเล่นอะไรกันตอนนี้

“อืม...ดูๆ ไป กระต่ายก็น่ากินดีนะ เนื้อเด็กๆ คงหวานน่าดู”

กระต่ายเกือบร้องเมื่อพี่คะเนทำท่าเหมือนแมวขย้ำหนู
รีบพลิกหลบ สุดคะเนนึกสนุก แกล้งไล่งับ ปากพลาดโดนใบหูที่ร้อนจัด

“โอย...” กระต่ายหงายหลัง ลงไปนอนเหมือนเดิม

ใบหน้าสุดคะเนอยู่ห่างจากเด็กผมเปียแค่คืบ
ใกล้จนได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่าย
มือของกระต่ายเต็มไปด้วยเหงื่อ
ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้กดเข้าหากันอย่างตื่นเต้น

สุดคะเนนึกอะไรได้ ลุกขึ้นนั่งข้างเตียง
เสยผมที่ยุ่งเหยิง พูดเสียงเรียบผิดไป


“...คิดอีกที พี่ว่ากระต่ายกลับไปนอนห้องตัวเองเถอะ”

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1377 วันที่ 05 มกราคม พ.ศ. 2550

14 January 2007

11 จากพระจันทร์

[พฤศจิกายน...สวัสดีจ้ะสุดคะเน
ฉันเขียนจดหมายฉบับที่สามถึงเธอ
ทั้งๆ ที่ฉบับที่สองยังไม่ได้รับตอบ
รู้ไหมว่า ฉันคอยเธออย่างกระวนกระวาย
เพราะฉันมีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกให้เธอฟัง
ขณะเดียวกันก็เกรงอยู่ว่า
จะรบกวนเวลาของเธอมากไหมนะ ทั้งการอ่านและการตอบ
เพราะบางครั้ง...คนเราก็ไม่มีเวลาเหลือเฟือ
พอที่จะมานั่งฟังเรื่องราวไร้สาระของใคร
แต่ว่า...ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าเธอรับฟังได้
เป็นความรู้สึก ไม่ใช่ความคาดหวังหรอกนะจ๊ะ
ฉันรู้สึกว่า โลกใบเก่าของฉันเริ่มหมุนอีกครั้ง
เมื่อได้รับจดหมายตอบจากเธอ
ความฝันของฉันกำลังเดินทาง
รู้ไหม มิตรภาพเป็นความอบอุ่นยิ่งกว่าไฟกองใดในฤดูหนาว
จริงสิ...เธอคงรู้ดี]

ลมพัดใบไม้ปลิวลงจากต้น
เฉียดไหล่สุดคะเน ก่อนซบนิ่งบนพื้นหญ้าสีเขียว
ผิวน้ำมีระลอกคลื่นเบาๆ เมื่อสุดคะเนปรายตามอง
แพลอยนิ่งเหนือน้ำ รองรับผู้คนบางตากว่าเคยเป็น
อาจเพราะไม่ใช่วันสุดสัปดาห์
กระต่ายส่งยิ้มโบกมือไหวๆ จากร้านขายขนมเจ้าหนึ่ง...
ขนมกล้วย ห่อด้วยใบตองโดนไอร้อนจนเป็นสีน้ำตาล...
อาจเป็นคุณยายเจ้าเดิมที่น้ำตาลเคยซื้อด้วย
น้ำตาล...เหมือนมีเข็มเล็กๆ แทงแปลบหนึ่ง
เสี้ยววินาทีที่ระลึกถึงคนจากไป

กระต่ายกระโดดขึ้นมาแล้ว
“พี่คะเนขา...ดูสิ มีขนมน่ากินจังเลย
เพิ่งเคยมานะเนี่ย ตลาดน้ำตลิ่งชัน ดีใจจังที่โดดเรียนมา”
เด็กผมเปียนั่งแหมะลงข้างๆ รถไฟแล่นมาบนเนิน
เสียงเบียดรางเหล็กจนต้องหยุดพูดไปชั่วขณะ
ตาเฉียงของเด็กน้อย วันนี้มีประกายกว่าทุกวัน

“ทานไหมคะ กระต่ายป้อนให้”
อย่างเอาใจ กระต่ายรีบแกะห่อขนม
นิ้วเลอะก็เอาเข้าปากดูดเหมือนเด็กๆ สุดคะเนหัวเราะ

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่กินเอง”

“ไม่เอา กระต่ายจะป้อน”
เสียงกระเง้ากระงอดจนสุดคะเนนึกขำ

“ไม่เป็นไร” ว่าพลางเอนตัวหนี
เด็กกระต่ายแกล้งรั้ง จู่ๆ ก็เซเองเกือบทับตัวรุ่นพี่

“อุ้ย!” กระต่ายหน้าแดงจัด รีบผละหนี
แปลกจัง...กระต่ายรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
จากจุดที่โดนเนื้อตัวพี่สุดคะเน เหมือนไฟฟ้าช็อต
แล้วแผ่กระแสอุ่นซ่าน หวั่นไหว...อีกแล้ว

สุดคะเนมองอย่างงงๆ
“คะ?” มือยื่นไปหาเด็กผมเปีย

กระต่ายถลาลุกพรวดพราด
“เอ้อ...กระต่ายไปห้องน้ำก่อนค่ะ!”

สุดคะเนเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่พูดอะไร
กระต่ายวิ่งตื๋อไปยังร้านกาแฟที่อยู่อีกด้านทันที



[เมื่อวานนี้ ฉันนั่งรถเมล์ผ่านถนนจรัญสนิทวงศ์
นานครั้งหรอกที่จะกลับเส้นทางนั้น
ถ้าไม่เป็นเพราะฉันไปเตร็ดเตร่แถวท่าพระจันทร์
ไปดูหนังสือ ดูผู้คน ดูเรือข้ามฟาก ให้สตางค์ขอทานแก่ๆ 2 – 3 คน
แล้วก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน เพราะเรือเที่ยวสุดท้ายหมดไปนานแล้ว

ฉันมองหาซอยบ้านของสุดคะเน
ค่ำมากแล้วละตอนนั้น ถนนบางช่วงมืดและเงียบ
บ้านเธออยู่ลึกไหมจ๊ะ ทางเข้ามืดหรือเปล่า อย่ากลับดึกมากนะ
มีใครเดินเป็นเพื่อนหรือเปล่า อย่าโกรธนะที่ถามซอกแซก
เพียงแต่ฉันเป็นห่วง ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ

ถึงนนทบุรี ฉันยังต่อรถอีกสองทอดกว่าจะถึงบ้าน
ยายแก่ๆ คนหนึ่งนั่งกองเหมือนผ้าเก่าๆ ริมทางเท้า
มีกระจาดใส่พวงมาลัยที่ไม่ค่อยเข้ารูปเข้าทรง ดอกมะลิคงจะแพงนะ
ถามแกว่าขายยังไง เสียงแกเบาจนต้องเอาหูไปใกล้ๆ
พวงละสิบบาท อื้อหือ...อยากจะเปลี่ยนใจ
แต่ก็คิดไว้ก่อนแล้วนี่นะ ว่าจะช่วยอุดหนุนคุณยาย
อีกอย่าง มะลิก็เป็นดอกไม้ที่ฉันรักมาก
เฮ้อ...ถ้าโลกนี้ไม่มีระบบเงินตราคงจะดีนะ...]

“แย่จัง...” กระต่ายสูดลมหายใจลึกๆ
เมื่อเดินออกห้องน้ำมา เจ้าของร้านส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรี
เขากำลังชงกาแฟให้ลูกค้าที่มีเพียงสองโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว
กระต่ายรู้สึกคุ้นหน้าชายคนหนึ่งที่นั่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
อาจเพราะผมสีส้มนิดๆ ที่สะดุดตา

“ทำไมนานจังคะ”
สุดคะเนเดินเข้าร้านมา วันนี้เด็กสาวสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงสีเดียวกัน

เจ้าของร้านเห็นเข้าก็เอ่ยปากทัก
“ไม่เห็นหน้าตั้งนาน”

“หวัดดีค่ะเฮีย” สุดคะเนพูด
ชายผมสีส้มเหลียวมอง แล้วต่างคนก็เงียบไปพักหนึ่ง

“หวัดดีค่ะ คุณแดน” สุดคะเนยกมือไหว้

กระต่ายจึงเพิ่งนึกออก...
เขาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงและกำลังออกอัลบั้มเพลงใหม่อีกด้วย
ล่าสุด เพิ่งเป็นแขกรับเชิญในงานโรงเรียน
แดนไม่รับไหว้ บอกกับคนร่วมโต๊ะเบาๆ ว่า “ผมขอตัวแป้บนะฮะ”

สุดคะเนเงียบกริบ เมื่อแดนเดินลงมายังท่าน้ำ
ที่ๆ นานมาแล้วเธอเคยห้อยขาริมฝั่ง มองดูเรือพายขายของ
และมีชายคนเดียวกันนี้ เดินตามลงมาอย่างวันนี้

“ทำไมจู่ๆ ถึงหายตัวไป”
เสียงถามเหมือนพ้อ แต่สุดคะเนรู้ดีว่า โทนเสียงเขาเป็นอย่างนั้นเอง

“ไม่ได้หายไปไหนนี่คะ ก็ยังทำงานที่เดิม”
นิ่งไปนิดหนึ่ง จึงพูดต่อ
“คุณต่างหากที่หยุดเขียนไป”

“ช่วงหลังผมออกต่างจังหวัดบ่อย...สบายดีมั้ย”
คำทอดตามหลังนุ่มนวล สุดคะเนยิ้มนิดๆ

“ค่ะ ก็สบายดี”

บนฝั่ง กระต่ายยืนชะเง้อมองอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย
เหลือบมองผู้หญิงที่มากับนักเขียนชื่อดังก็เห็นมีสีหน้าตึงๆ
ทำไมต้องลงไปคุยกันอย่างนั้นด้วย!

“เดี๋ยวมานะคะ” แค่นั้นเอง คำบอกจากพี่สุดคะเน

ริมน้ำ สุดคะเนทอดตาดูผักตบชวาลอยไหลไปติดค้างกองสวะ
ฝั่งโน้นยังมีคนทำธุระต่างๆ มีทั้งเอาข้าวของมาล้าง ซักผ้า
อาบน้ำให้เด็กบนชานพักบันได ฯลฯ
เหมือนภาพที่เคยเห็นเมื่อนานมา

“...คิดถึงน้ำตาลหรือเปล่า” แดนถามขึ้น

นิ่ง เงียบ แสนนาน กว่าคำพูดเรียบๆ จะหลุดจากปากเด็กสาว

“ไม่”

แดนชะงัก มองดูตาดำสนิทอย่างค้นคว้า
“ไม่เลยหรือ คะเนใจร้ายกว่าที่คิดนะ”

สุดคะเนยิ้มมุมปาก
“คงงั้นมังคะ…น้ำตาลเลือกที่จะไปเอง ทำไมฉันต้องคิดถึงด้วยล่ะ”

“กับผมล่ะ...คะเนก็เป็นคนไป แต่ผมยังคิดถึงคุณ”

“ขอบคุณ” สุดคะเนหันกลับมาเผชิญหน้าตรงๆ
“ถามอะไรอย่างได้มั้ย”

“ได้สิ”

“เดินมาคุยกับฉันแบบนี้
ไม่คิดว่าคนที่มากับคุณจะ...เอ้อ...คิดมากหรือ?”

“ไม่” แดนตอบทันควัน “ทุกคนที่คบกับผมรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ได้มีเค้าคนเดียว...
เราเหมือนกันไม่ใช่หรือคะเน ทำไมต้องเลือกไปก่อนถึงเวลาด้วย?”

“ฉันเบื่อคุณ”
แดนมีสีหน้าประหลาดใจจนเก็บไม่อยู่
ชายหนุ่มยกมือเสยผม เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น

“เราไม่ได้รักกัน” สุดคะเนพูดช้าๆ “ไม่เคยรักกัน...”

“...หมายความว่าไง? คุณเองก็พูดตลอดว่าไม่ชอบความรัก
คุณอยากได้ความรักจากผมงั้นหรือ”

“เปล่า” สุดคะเนจ้องตาคนเคยสัมพันธ์ด้วยหัวใจเยียบเย็น
“ฉันไม่อยากได้อะไรจากคุณทั้งนั้น
แต่ในเมื่อระหว่างเราจะไม่มีทั้งอดีต ไม่มีอนาคต จบวันไหนก็เหมือนกัน”

“จริงๆ แล้วคุณชอบเอาผู้หญิงใช่มั้ย?”
แดนถามเสียงดังจนน่าตกใจ แต่สุดคะเนยังยิ้มเหมือนเดิม

“ค่ะ คุณเข้าใจถูกแล้ว”

“พี่คะเนคะ...มีอะไรกันหรือคะ”
เด็กกระต่ายถามมาตลอดทางเดินจากร้านกาแฟกลับที่เดิม
รถไฟแล่นมาอีกขบวนหนึ่ง แต่เด็กผมเปียยังไม่หยุดเซ้าซี้ถาม

“...แล้วน้ำตาลคือใครกันคะ...คุณแดนละคะ
เค้าเป็นคนคุ้นเคยของพี่คะเนหรือคะ”

“หยุดถามเสียทีกระต่าย!” สุดคะเนตวาด
กระต่ายตัวแข็งตกใจ ได้สติสุดคะเนก็ถอนใจยาว
“เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง”

“จริงๆ นะคะ” กระต่ายเสียงอ่อนลง
ใจกล้าเอื้อมมือไปเกาะแขนคนอายุมากกว่า
“กระต่ายอยากฟัง อยากรู้เรื่องทุกๆ อย่างของพี่คะเน”

“อยากรู้ไปทำไม” สุดคะเนพูดห้วนๆ
“พี่ยังไม่เห็นอยากรู้เรื่องกระต่ายเลย”
กระต่ายหยุดกึก จู่ๆ น้ำตาก็คลอขึ้นเฉยๆ

“...แต่...พี่คะเนเคยบอกกระต่ายว่า
ถ้าอยากเล่าเรื่องแม่ เรื่องพ่อ พี่คะเนจะฟังไม่ใช่หรือคะ…”

สุดคะเนหยุดบ้าง ใจหายวูบเมื่อเห็นแววตาท้วงถามเหมือนเด็กฝังใจ
นับหนึ่งถึงสิบ กลั้นใจพูดเบาๆ

“...ขอโทษทีกระต่าย พี่พูดไม่ทันคิด...
ถ้ามีอะไรอยากเล่าให้ฟัง พี่ยินดีฟังจริงๆ นะคะ”

กระต่ายสูดน้ำมูก กอดแขนคนเสื้อดำแน่นเข้า
“งั้นกลับบ้านคืนนี้...กระต่ายจะเล่าให้ฟังนะคะ”

สุดคะเนลอบถอนใจ เบือนมองทางที่จากมา
แดนยังอยู่ที่เดิมกับผู้หญิง...คงเป็นเพื่อนใหม่
มีแววตาที่อ่านไม่ออกมองมาสบกัน



[...ขีดเส้นคั่น เพราะอยากเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน...
สุดคะเนจ๊ะ รู้หรือเปล่า
วันที่ฉันโทรศัพท์ถึงเธอน่ะ ฉันยิ้มไม่หุบไปทั้งวันเชียวแหละ
เป็นความสบายใจยังไงไม่รู้สิ เหมือนได้พบเพื่อนเก่าที่จากกันมานานแสนนาน
อยากคุยอะไรมากมาย แต่ความคิดก็ยังเร็วกว่าปากเสียอีก ปานนั้นเชียว!!

รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่สุดในรอบปีที่ยกหูโทรศัพท์ถึงคะเน
เธอล่ะ เห็นว่าฉันคิดถูกหรือเปล่า
มีเพื่อนๆ ในที่ทำงานแซวด้วยนะว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ได้คุยกับหวานใจละสิ
นานๆ ที มีคนอิจฉาจนตาร้อนผ่าวบ้างก็ดีเหมือนกันนะ


...จากพระจันทร์]



ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1376 วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2549

04 January 2007

10 ใจคน

คืนนี้ฟ้ามืดกว่าทุกคืน
กระต่ายลุกไปเกาะขอบหน้าต่าง
มองข้างนอก มีดวงจันทร์หม่นๆ ทอแสงเรื่ออยู่ไกลๆ

พ่อเคยบอกว่า “ในดวงจันทร์มีกระต่าย มีตากับยายตำข้าว”

แต่แม่บอกว่า ไม่เคยเห็น มองแทบตายก็ไม่เห็น

พ่อพูดเสียงหนักๆ เพราะแม่ไม่เคยเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอก
เอาแต่คิดเรื่องทำมาหากิน

แม่บอกว่า ถ้าไม่ทำมาหากินแล้วใครจะหา
ไม่เหมือนพ่อพวงมาลัย วันๆ คอยแต่เสี่ยงหาเมียใหม่
สวยๆ รวยๆ คงได้อยู่หรอก รอกระต่ายเปลี่ยนเป็นควายตำข้าวแล้วกัน

พ่อเริ่มโกรธ พูดว่า ไม่เคยดูตัวเองเลย เอาแต่โทษคนอื่น
ไม่เคยดูว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน พ่อผิดเองที่หลงผิดแต่แรก

แม่พูดว่า ใช่สิ หลงผิดมาเอาเมียมอญ ทั้งๆ ที่อยากมีเมียไทยใจแทบขาด
เสียใจด้วยนะ ทำยังไงทางบ้านก็ไม่ยอมรับ

พ่อตอบว่า บ้านฉันมันก็งี่เง่า หลับหูหลับตาจะให้แต่งกับลูกคนข้างบ้าน
หน้าตายังกะเต้าหู้ ดีอย่างเดียวคือขายของเก่ง
ถ้ายอมไปอีกหน่อยคงได้เป็นเจ้าของคอกหมู อ้วนวันอ้วนคืน

แม่โกรธ บอกว่าพูดถึงผู้หญิงให้มันดีๆ หน่อย จะจีน ไทย มอญ ก็คนเหมือนกัน

พ่อหน้าแดงก่ำ บอกว่า เพราะงั้นไง ฉันถึงหนีเมียเจ๊กมาได้เมียมอญ
หลงในชาติพันธุ์ตัวเอง บ้านเมืองอยู่ไหนไม่เคยเห็น มีจริงหรือเปล่าไม่รู้
ถือประเพณีบ้าๆ บอๆ ฉันเป็นคนไทยแท้ๆ ยังทำตัวธรรมดา

แม่พ่นเสียงออกทางจมูก เตี่ยจีน แม่ไทย
มีเลือดอย่างละครึ่ง ไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เสียที่ไหน

พ่อบอก แม่ฉันเป็นผู้ดีไทย ฉันก็โตมาอย่างคนไทย ไม่ใช่เจ๊กต่ำๆ

แม่บอก อ๋อ ใช่ซี ส่วนฉันก็เป็นมอญต่ำๆ หลงผิดไปเอาผัวผู้ดี
วันๆ คิดแต่จะออกงานกับเข้าบ่อน
เงินทองหามาได้ก็เอาไปประเคนนักร้องคาเฟ่ ลูกเต้าอยู่กินยังไงไม่เคยดูแล

พ่อถลาเข้าหาแม่ พูดดีนักนะมึง นึกว่าจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ได้ผัวอย่างกูแทนที่จะดีใจเป็นพระคุณกลับมาขึ้นเสียงเถียงคำไม่ตกฟาก
ถ้าตอนนั้นหน้าขึ้นฝ้าเป็นผีอย่างนี้ แถมเงินกูยังไม่เอา

แม่หวีดร้อง คว้ามีดปอกมะพร้าว มึงทำกู กูก็ทำมึง
ทุกวันนี้ที่อยู่เพื่อเค็นกับกระต่ายเท่านั้น

พ่อหัวเราะลั่น อย่าเอาลูกมาอ้าง มึงรักกู กูรู้

แม่ร้องไห้ งั้นมึงก็ไปเลยสิ ไป จะไปไหนก็ไป ลูกสองคนฉันเลี้ยงเอง

พ่อหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม กูไปแน่ ให้ได้เมียใหม่ดีกว่ามึงก่อน
แล้วมึงรู้มั้ย ลูกมันรักใคร ลองถามมันซิ
แม่ร้องไห้ พูดไม่ออก


[“....กระต่าย...” เสียงเค็นเคยถาม
“ทำไมกระต่ายไม่รักแม่ ทั้งๆ ที่แม่ลำบากเพราะเรา พ่อเสียอีกที่...”


“ไม่ต้องพูด เค็น! ถึงยังไง ท้ายที่สุด แม่ก็เป็นคนทำให้พ่อตาย”

“กระต่าย...แม่ไม่ได้ตั้งใจนะ พ่อต่างหากที่เมาแล้วตกน้ำไปเอง”

“ไม่ใช่!” กระต่ายน้ำตานองหน้า
“พ่อเสียใจต่างหากที่แม่พาแฟนใหม่มานอนถึงในบ้าน!”

“กระต่าย ก็คนอยู่กันไม่มีความสุข จะให้เขาทนไปทำไม”

“แต่พ่อดีกับกระต่าย ถึงยังไงพ่อก็เล่านิทานให้กระต่ายฟังบ่อยๆ
เป็นเพื่อนเล่นสารพัด แม่เสียอีก วันๆ ทำแต่งาน หาแต่เงิน
วุ่นวายกับสังคมชาวมอญ สมแล้วที่พ่อทนไม่ไหว”

“กระต่าย!” เค็นมีสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง
“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย โตกว่านี้ กระต่ายถึงจะเข้าใจ”

“ตอนนี้ก็เข้าใจ! เอายังงี้ดีกว่า ถ้าเค็นไม่พอใจ กระต่ายจะออกไปอยู่หอเอง”

“ไม่ได้!” เค็นทำเสียงจริงจัง
“ฉันปล่อยเธอไปอยู่คนเดียวไม่ได้ อยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ด้วย”

“เค็นยุ่งกับกระต่ายทำไม รักแม่ ห่วงแม่ ก็อยู่กับแม่ไปสิ”

“เพราะแม่รักกระต่าย ห่วงกระต่ายไงล่ะ!” เค็นเสียงลั่น
“ขืนปล่อยให้เป็นอะไรไป คนทุกข์ใจก็คือแม่
ฉันไม่อยากยุ่งกับเด็กประสาทอย่างเธอหรอกนะ ยายกระต่าย
แต่ฉันต้องดูแลเธอให้ดีที่สุด เพราะแม่รักเธอมากที่สุดไงล่ะ!”]


เมฆหม่นเลื่อนมาบังดวงจันทร์ไปแล้ว
กระต่ายน้ำตาไหลอาบแก้ม คิดถึงคนที่อยู่ห้องข้างๆ จัง
พี่คะเนคงไม่เคยเจอเรื่องราวอย่างกระต่ายหรอกใช่ไหม
พี่คะเนเป็นคนเข้มแข็ง ถึงจะมีบุคลิกเงียบขรึม
แต่ก็เหมือนหินผาไม่หวั่นไหวกับสิ่งใด

กระต่ายอยากเป็นแบบพี่สุดคะเน
อยากเป็นก้อนหินที่แข็งแกร่งทั้งภายนอกภายใน
ถ้ากระต่ายเป็นไม่ได้ พี่คะเนก็คงแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นให้กระต่ายได้บ้าง
ความคิดของกระต่ายสับสนวนเวียน
บางทีก็ลืมไปเหมือนกันว่า ภาพภายนอกนั้น ตัวเองต่างหากร่าเริงสดใส
และงานเขียนของสุดคะเนที่หม่นเศร้า ลึกลับ
ในใจของเด็กน้อยจึงคอยแต่คิดว่า อยากได้ อยากเป็น


อยากเป็นอย่างคนที่มองเห็นด้วยตา


ในห้องติดกัน
สุดคะเนเองมองดูดวงจันทร์ที่หายเข้าในฝ้าเมฆด้วยดวงตาเศร้าลึก


จดหมายสองฉบับอิงแอบบนโต๊ะเขียนหนังสือ
ฉบับที่มีลายมือเรียบสวย สม่ำเสมอ ทุกตัวอักษรยังเปล่งประกายอยู่ในใจ

[ณ...แก่งคอย


คะเนคะ
1. หากคะเนคิดว่า...ความคิดถึงที่ดาวมีต่อคะเนนั้น
เป็นเพียงการเสแสร้งมารยาละก้อ...ดาวก็จะไม่โกรธนะ ไม่ต่อว่า ไม่ฟูมฟาย
หรือร้องขอ ให้คนไกลยอมรับความรู้สึกนั้น
ไม่มีใครต่อว่านะ ว่าคะเนเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าจะคิดให้ดี ดาวต่างหากที่เห็นแก่ตัว
‘คนเห็นแก่ตัว’ ชัดไหมคนดี...กับคำๆ นี้
ควรที่จะมาเรียกคนอย่างดาวดีกว่า...ไม่ใช่คะเน
ดาวมีความผูกพันกับคะเนมากมายเต็มความรู้สึก
ความเข้าใจ...ที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย
ความคิดถึง...ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครบังคับ
ห่วงใยและอาทร ยามห่างหากซึ่งกันและกัน
ดาวเจ็บร้าว...เพียงคิดว่าจะเป็นผู้ที่ถูกเลือนไปจากความรู้สึก
มากมายเพียงนี้... คะเนยังต้องการอะไรอีกหรือ
ต่อการที่จะพิสูจน์ความจริงใจที่ดาวมีให้
ไม่นะ...ไม่อยากพูดคำว่ารัก
จะไม่สร้างพันธะที่จะห้อมล้อมอิสรภาพระหว่างกันและดาวเองก็คิดว่า
ความรู้สึกภายในที่มีมากมาย...เกินกว่าคำสารภาพแห่งรัก

2. เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไปนั่งเล่นที่น้ำตกมา
เชื่อเปล่าว่าไปคนเดียวนะคะ มันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย
ซักผ้าเสร็จ กะว่าจะไปนั่งรถเล่น ก็เลย-เลยไปน้ำตกซะเลย

สนุกจังเลย เพราะไปพบเพื่อนใหม่ 4 คน ชาย 2 หญิง 2
อยู่ในระหว่าง 7 – 11 ขวบ เค้ามากันเป็น Teem
เด็กชาย 2 คนหาจับตัว “ปลอม”
เค้าบอกเรียกปลอม(ปอม)อะไรเนี่ย...แต่ดาวว่ามันชื่อกิ้งก่า

...ดาวเลี้ยงขนมพวกเค้า ดูเด็กๆ ชอบใจ ทำให้ดาวสบายใจขึ้นมาก
โชคดีอีกอย่างคือ ดาวไปเจอพระ 1 องค์ เป็น “พระรอด”
จมอยู่ในน้ำใต้ต้นไม้ (คะเนเอารูปที่เคยให้ขึ้นมาดูสิคะ ต้นไม้ต้นนั้น
และก็นั่งตรงนั้นเช่นกัน) ก็เลยนำพระกลับบ้านมาด้วย

ดาวออกจากน้ำตกประมาณบ่าย 2 โมง
เด็กๆ เดินมาส่งที่ท่ารถ กลับมาถึงบ้านประมาณบ่าย 3 โมง
กลับมาถึงก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง
แฟนดาวเค้าเข้ามาถาม “เป็นอะไรเหรอ ถึงไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นอย่างไรมั่ง”

“เปล่า” ดาวตอบ นึกขึ้นได้ว่า ก่อนออกจากบ้าน บอกแม่ไว้ว่าไม่ค่อยสบาย
จะไปหาหมอสักหน่อย (เค้ายังไม่ตื่นน่ะ)
เค้าต่อว่าไม่สบายก็ไม่บอกเค้า วันนั้นเค้าทำงานบ้านแทนดาวหมดเลยละ

ซักถุงเท้า รีดผ้า ถูบ้านด้วย เค้าบอกไม่สบายเลยทำแทนให้ (วันเดียวนะ)

3. แต่คะเนคะ...หัวใจคนเราไม่ใช่หิน...ไม่ใช่เหล็กไหล
ที่ผูกพันกับใคร จะมิให้อ่อนไหวกระนั้นหรือ?

คะเนคะ ถึงแม้ดาวจะไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกแท้จริงที่คะเนมีต่อดาว
แต่ดาวก็อยากจะเรียกความรู้สึกเหล่านั้นว่าความรัก...ได้ไหมคะ
มันอาจจะเป็นความเข้าใจผิด แต่ดาวก็ยังอยากเข้าใจเช่นนั้น

คะเนคะ...ดาวรู้สึกน้อยใจมากมายเลย
ไม่รู้ซิว่าทำไม ต้องรู้สึกเช่นนั้น
จนแล้วจนรอด คะเนก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่ดาวมี...
ไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะบอก

ไม่ใช่ในรูปของคำว่า ‘รัก’ ความรู้สึกมันมากมายกว่านั้น...

ไม่รู้นะ ดาวรู้สึกเจ็บร้าว กับมิตรภาพระหว่างเราซึ่งกำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
เจ็บช้ำ กับการก้าวต่อไปข้างหน้าแม้เพียงก้าวเดียว...
แต่ครั้นจะถอยหลังกลับไป ไม่แคร์ต่ออะไรทั้งหมด มันก็ทรมานไม่แพ้กัน

ทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
ไม่รู้ซิ...ดาวคนอ่อนไหวอะไรอย่างนี้
คะเนอาจไม่รู้...ไม่เข้าใจ เพราะในชีวิตคะเนมีใครต่อใครมากมาย
แต่สำหรับดาว มันเพิ่งจะเริ่มเป็น เริ่มประสบ...ดาวแยกมันไม่ออก
ระหว่างความรู้สึกกับความเป็นจริง

ดาวมิได้เฝ้าเรียกร้องถึงสิทธิอะไรทั้งนั้น
คะเนจะมีใคร...อยู่กับใคร...ที่ไหน
ดาวไม่สนหรอก ขอเพียงบางส่วนความรู้สึกที่คะเนมี
แบ่งปันมาให้ดาวบ้าง...แล้วสักวัน คะเนจะแรมไกลไปนิรันดร์ มันคืออนาคต
แต่สำหรับวันนี้ ขอมีดาวในความคิดถึงของคะเนก่อน...ให้ได้หรือเปล่าคะ คนดี]


สุดคะเนรู้สึกเหนื่อย กับการอ่านจดหมายพี่ดาว
ข้อความซ้ำซ้อนและขัดแย้งไปมา พี่ดาวพูดถึงความรักเสมอ
เช่นเดียวกับที่พูดถึงความคิดถึง ความเจ็บปวด วิถีที่ต้องเป็นไป

มันยากมากใช่ไหม ที่จะมีชีวิตเรียบง่าย ความรักเรียบง่าย
หรือตัดสิ่งต่างๆ จากหัวใจโดยง่าย คนเรามองเห็นกันด้วยตา
มิอาจล่วงลึกถึงใจ ในจิตใจคนยังซ้อนซ่อนแง่มุม
มิรู้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความจริงกว่า

พี่ดาวเอง ยามเล่าถึง ‘เค้า’ ก็มีแต่เรื่องดีๆ แต่ไยเป็นเธอที่บอกมาว่า
‘คะเนจะมีใคร...อยู่กับใคร...ที่ไหน ดาวไม่สนหรอก
ขอเพียงบางส่วนความรู้สึกที่คะเนมี แบ่งปันมาให้ดาวบ้าง’

ใครกันแน่ ที่ควรจะพูดอย่างนั้น
...สุดคะเนเดินกลับมานั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
สอดกระดาษเข้าใต้แป้นหมุนของพิมพ์ดีด



ถึง...พระจันทร์



ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1375 วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2549