30 September 2006

03 อีกฝน

กระต่ายลงไปนั่งยองๆ แตะกลีบกุหลาบเมาะลำเลิงอย่างเอ็นดู

ลำต้นมีหนาม ใบเขียวเข้มปลายเรียว แผ่พุ่มในกระถางแข็งแรง ดูเหมือนพี่สุดคะเนจะเคยบอกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นพืชในตระกูลกระบองเพชร แถมพรรคพวกในสกุลหลักล้วนสีชมพู

‘เจ้านี่รายเดียวสีส้ม’ พี่คะเนเคยพูดยิ้มๆ
‘กลุ่มสีชมพู เค้าเรียกปีรีสเคีย แกรนดิฟลอรา แต่ถ้าดอกสีส้มเรียกปีรีสเคีย คอร์ริวกาตา’

‘เหมือนกุหลาบตรงไหนกัน’
‘ดอกไงคะ ดูดีๆ สิ บางคนถึงเรียกว่ากุหลาบเทียมหรือกุหลาบแก้ว”

กระต่ายไปค้นข้อมูลเพิ่มที่โรงเรียน ได้ความว่า ชื่อกุหลาบแก้ว ตั้งโดย ดร. ปฏิเวธ อารยะศาสตร์ ซึ่งเป็นคนแรกที่นำพันธุ์ไม้นี้เข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส ปี 2502

เมื่อนำความกลับมาบอกพี่สุดคะเน สิ่งที่ได้คือรอยยิ้มชวนให้หัวใจพองโต

‘เก่งจังกระต่าย ขยันหาความรู้แบบนี้ เค็นคงชื่นใจ”

เกี่ยวอะไรกับเค็น...กระต่ายนึกในใจ แต่ไม่พูดเฉยๆ พี่สุดคะเนไม่รู้บ้างหรือยังไง ที่กระต่ายวิ่งทำนั่นทำนี่ตั้งหลายอย่าง...เรื่องของหัวใจหรอก

‘อ้อ แล้วกระต่ายรู้มั้ย เมาะลำเลิงเป็นชื่อเมืองเก่าของมอญ แต่มีอีกคำนึงใช้เรียกเมืองๆ นี้ ใบ้ให้ว่าอยู่ในเพลงของจรัล มโนเพชร’

กระต่ายคิดหัวแทบแตก ใครจะไปรู้เล่า จรัล มโนเพชรร้องตั้งหลายเพลง ไม่ได้เป็นคนเหนือเหมือนพี่สุดคะเนเสียหน่อย

‘เอางี้ กระต่ายไปค้นมาอีกที ตอบถูกจะให้รางวัล’
วันนี้แหละ...กระต่ายยิ้มย่อง ยืดตัวลุกขึ้น มีเหตุผลเคาะเรียกพี่สุดคะเนแล้ว!


ประตูเปิดออก แต่คนที่เดินออกมาเป็นผู้หญิงผมยาวนัยน์ตาโศกเหมือนโลกมืดตลอดเวลาคนนั้น

เจ้าหล่อนขอบตาช้ำจัด ไม่หลับไม่นอนหรือไง กระต่ายคิดในใจ

“พี่ดาว...เดี๋ยวก่อนสิคะ”
พี่สุดคะเนถลันตามมา ยังอยู่ในเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้น มือคว้าแขนผู้หญิงคนนั้น

“อย่าเพิ่งไปสิคะ คุยกันก่อน”
“พี่ต้องกลับแล้วค่ะ”

พี่สุดคะเนทิ้งแขนลงอย่างอ่อนแรง สายตาที่มองแขกมาเยือนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

“พี่คะเนคะ...”
ทั้งสองหันขวับ ทำเหมือนกระต่ายเป็นมดแมลง ทั้งที่ยืนหางเปียชี้โด่เต็มตา
“กระต่ายรู้แล้วว่า...”

“เอาไว้ก่อนค่ะ”พี่สุดคะเนโบกมือ แล้วหันกลับไปหาผู้หญิงบอบบางซีดเซียว พูดด้วยน้ำเสียงต่างกันสิ้นเชิง

“อีกสิบนาทีได้ไหมคะพี่ดาว...นะ...ให้คะเนไปส่ง”


กระต่ายหันหลังกลับเข้าห้อง กระแทกประตูสนั่น
เค็นสะดุ้ง น้ำแกงในทัพพีแทบกระฉอก

“เบาๆ ไม่ได้หรือไงกระต่าย ได้ยินถึงซอยพระครูโน่น”
“อย่ายุ่ง!”

“อ้าว!” เค็นร้อง “โดนไล่มาอีกซี ก็บอกแล้วไปกวนอะไรเค้า มาเตรียมจานดีกว่า วันนี้แกงพุทราเชียวนะ อร่อยมากๆ ขอบอก”

“ไม่เห็นชอบกินเลย” กระต่ายหน้าบึ้ง “อยากกินเคเอฟซีมากกว่า”
“กระต่ายนี่” เค็นเป่าน้ำแกงเบาๆ ก่อนชิม

“แม่ได้ยินเสียใจตายเลย จำไม่ได้เหรอ ปลายฝนต้นหนาว แม่จะต้องแกงพุทราใส่ดอกแคให้กินกันไข้หัวลม ตอนเด็กๆ เธอโปรดจะตาย”
“อย่าพูดถึงแม่ได้มั้ย!”

กระต่ายลงไปนั่งกอดเข่ากลางห้อง เค็นชำเลืองดูน้องสาว ผมที่ยาวถึงกลางหลัง และเจ้าตัวถักเปียไว้เสมอ ตอนนี้เริ่มคลายออกตามเคย

กระต่ายผิวเหมือนแม่ ตาเรียวเหมือนพ่อ แต่ฤทธิ์ที่มากเหลือเกิน...ไม่รู้เหมือนใคร

เค็นละจากโต๊ะปรุงอาหาร ซึ่งมีเพียงกระทะไฟฟ้ากับหม้อหุงข้าวเท่านั้น มานั่งแหมะข้างๆ
“เอางี้ เดี๋ยวให้ตุ๊กตา”

กระต่ายร้องกรี๊ด ผลักอกเค็นเต็มแรง
“อย่าแกล้งเค้านะ!!”

“กิ๊วๆ ก็ไหนว่าลืมอดีต โธ่ กระต่าย...ไปกินข้าวกันดีกว่า แกงพุทรา มีทอดมันหน่อกะลาด้วย”
กระต่ายชักผิดหู

“เค็นไปเอามาจากไหน อย่าบอกนะว่า...”
“ฮื่อ” เค็นพยักหน้า “แม่แวะมา เธอขี้เซาแค่ไหนนึกดู แม่มาทั้งคนไม่รู้เรื่อง ใจคอห่วงแต่คนห้องแปด ตื่นมาก็รีบดิ๊กๆ ไปหา”

“เอ๊ะ! เค็นนี่ เค้าไม่ใช่หมานะ…แล้วแม่มายังไง มาทำอะไร”
“ไม่รู้ อยากทราบไปถามเอาเอง แม่นะ เห็นเธอหลับอุตุยังไม่ยอมให้ปลุกเลย เข้าห้องนิดเดียวก็ไม่เอา กลัวเสียงดัง กลัวนังปีศาจน้อยมันจะตื่น กลัวมันลุกขึ้นมาโวยวายไล่แม่ออกจากห้อง”

พูดไปๆ เสียงเค็นก็ชักสั่น กระต่ายเองใจหายวูบกับถ้อยคำเหล่านั้น ตาที่ชี้เฉียงหาขมับมีน้ำคลอปริ่ม รีบเบือนหน้าพูดเสียงแข็ง

“พอแล้วไม่ต้องพรรณนา...กินก็ได้! แต่บอกก่อนนะไม่ชอบ เห็นว่าอุตส่าห์ทำหรอก”

เค็นยิ้มออก (แต่ซ่อนไว้) ลุกเข้าครัวที่อาจจะเล็กที่สุดในโลก ตักแกงใส่ถ้วย ตักข้าวใส่จาน เตรียมสำรับให้น้องบังเกิดเกล้า


สุดคะเนขบริมฝีปากแน่นเมื่อเดินถึงป้ายรถเมล์ การะเวกเห็นแต่ใบ คราบฝุ่นฉาบหนาจนมีสีคล้ำจัด รถสาย 203 จอดรับส่งผู้โดยสาร แท็กซี่ยังไม่มา

“อย่าทานกาแฟมากนะคะ ทานข้าวด้วย”
พี่ดาวบอกเบาๆ สุดคะเนเจ็บในหัวใจเหมือนหนามแหลมทิ่มแทง

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คะเนไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ค่ะ พี่รู้”

แล้วก็เงียบกันไป แท็กซี่คันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามา เด็กสาวผมสั้นยืนทื่อ แต่คนผมยาวก็ยังยืนนิ่ง จนรถที่ไร้ผู้โดยสารผ่านไป

อีกคันและอีกคัน

“ทำไมไม่เรียกละคะ” สุดคะเนหันมาถาม
“จนกว่าคะเนจะเข้าใจพี่”

สุดคะเนนิ่งไปหลายวินาที
“คะเนเข้าใจเสมอ พี่ดาวต่างหากที่...”

“พี่รู้ พี่เอาเปรียบคะเนมาโดยตลอด”
เสียงที่แผ่วเบาเหมือนมีดอีกเล่มกรีดซ้ำแผลเดิม
“แต่พี่มีความจำเป็น เราก็คุยกันแล้วตั้งหลายครั้ง”

“คะเนก็แค่...อยากให้พี่ดาวอยู่นานกว่านี้อีกนิด”
“พี่หรือจะไม่อยากอยู่” ฝุ่นหรือเปล่า ที่เคลือบคลุมถึงดวงตาสวยโศก “แต่พี่ทำได้แค่นี้ ไม่แน่ด้วยว่าต่อไป จะมาหาคะเนได้อีกกี่ครั้ง...”

“ทำไมละคะ ก็ไหนพี่ดาวบอกว่า ถ้าคะเนไม่มีคนอื่นอีก...พี่จะมาหาเท่าที่ทำได้ จะพยายาม...หาทางอยู่ด้วยกัน”
“พี่ต้องรักษาตัว”

ตาแสนงามมองเข้ามาในตากลมดำ อากาศกำลังเปลี่ยนหรือเปล่า สุดคะเนรู้สึกถึงความเย็นยะเยียบที่ค่อยๆ เลื้อยไล่จากปลายเท้าสู่ศีรษะ หากหยุดชะงักแค่หัวใจ

เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวแล้ว

“...พี่กำลังจะมีน้องอีกคน”

แท็กซี่จอดลงจนได้ พี่ดาวก้มตัวลอดเข้าไป สุดคะเนฝืนยิ้มเมื่อร่างบางหันมาโบกมือก่อนเอนหลังพิงเบาะ แล้วรถก็เคลื่อนไป

เมฆแตกออกเหมือนถูกลมเป่าคว้าง หรือสุดคะเนต่างหากที่เคว้งคว้างยิ่งกว่าสิ่งใด จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนครั่น แม่ค้าหน้าตลาดกุลีกุจอเก็บข้าวของ บ้างกางร่ม บ้างคลุมพลาสติก การะเวกดอกหนึ่งปลิดก้านตามลมกรรโชกแรง

สุดคะเนยื่นมือคว้า ได้แต่ความว่างเปล่าอย่างนึกไว้ ฝนตกแล้ว เม็ดโตๆ กระแทกทุกอย่างไม่ปราณีปราศรัย ผู้คนวิ่งหลบชุลมุน แต่เด็กสาวยังยืนนิ่ง ไม่รู้จะรีบไปไหน

ไม่รู้จะรีบไปทำไม.


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1356 วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2549

02 กระต่ายหมายคะเน

ในห้องสีขาวคืนนี้ เปิดไฟโคมเพียงดวงเดียว

พี่ดาวอาบน้ำสระผมแล้ว กลิ่นจางๆ ของแชมพูมะลิยังเคลือบคลุมบนเรือนผมที่ยาวถึงกลางหลัง ดำสนิท นุ่มเหมือนเส้นไหม

หญิงสาวดึงหนังสือเล่มหนึ่งจากหัวเตียง ‘แพลทเทอโร แอนด์ ไอ’

สุดคะเนเข้ามานั่งข้างๆ ในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็ก ประจงซับหยดน้ำให้
พี่ดาวหันมายิ้ม นัยน์ตาบอกถึงความอบอุ่น เป็นสุข สุดคะเนยิ้มตอบ จูบเร็วๆ ที่แก้ม

“ไม่ทำงานหรือคะ”
“คะ?”
“ก็...คะเนต้องเขียนหนังสือไม่ใช่หรือ ไหนว่าพรุ่งนี้ต้องส่งต้นฉบับแต่เช้า พี่ไม่กวนนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”

สุดคะเนหัวเราะ ทิ้งตัวบนเตียง ดึงอีกฝ่ายให้ล้มลงด้วย

“อุ้ย!” พี่ดาวขืนไว้ แต่แล้วก็โอนอ่อน
“ใครจะบ้าทำอย่างอื่น มีพี่ดาวอยู่ด้วยแบบนี้”
“หวานจริง”

ตามองตา ชิดจนยินเสียงหัวใจเต้นแรง พี่ดาวพริ้มตาลง

“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”
“นั่นซี” สุดคะเนจูบหน้าผากนวล
“...จากคนไกลถึงคนไกล...ให้รับรู้ ”
“มาเป็นคู่กรณีกันดีกว่า...”

“...ต่างมีศาลชื่อศาล กาลเวลา”
“ตัดสินว่าใครคงมั่น...นานกว่าใคร”

จบคำกลอนที่ท่องต่อกัน พี่ดาวก็ซุกนิ่งในอ้อมแขนสุดคะเน พึมพำ

“ไม่นึกเลยว่าจะจำบทกลอนของพี่ได้”
“ได้สิคะ” สุดคะเนตอบ “คะเนเก็บสมุดคำกลอนของพี่ดาวไว้กับตัวเสมอ...อ่านบ่อยๆ จำได้แม้แต่ตอนนี้ ในหน้าเดียวกัน มีบางวรรคจากพระอภัยมณีด้วย”
“จริงหรือคะ”

“จริงสิ...ที่บอกว่า...ด้วยวิสัยในประเทศทุกเขตแคว้น ถึงโกรธแค้นความรักย่อมหักหาย อันความจริงหญิงก็ม้วยลงด้วยชาย ชายก็ตายลงด้วยหญิงจริงดังนี้”
“แต่ในความจริง หญิงก็ตายเพราะหญิงได้เหมือนกัน...”

“ส่วนหน้าซ้าย...” สุดคะเนต่อ “มาจากนิราศพระบาท...เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น ระวังตนตีนมือระมัดมั่น เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล”

“ทำไมคะเนจำเก่งขนาดนี้”
พี่ดาวเงยหน้าขึ้นดูคู่รักซึ่งอายุน้อยกว่าถึง 10 ปี สุดคะเนยิ้มจนเห็นรอยย่นที่หางตา

“คะเนความจำดี พี่ดาวไม่รู้หรือ อะไรที่ผ่านไปผ่านมาในชีวิต สำหรับคนอื่นอาจเหมือนลมพัดผ่านไป แต่กับคะเน เหมือนน้ำกับฝั่งมากกว่า”

“..................”
“ฝั่งที่ถูกน้ำเซาะ น้ำซัด ไม่มีทางจะลบเลือนร่องรอย”


พระจันทร์ขึ้นแล้ว มองจากหน้าต่างบานเกล็ดที่มีมะพร้าวต้นหนึ่งยืนขนาบใกล้ๆ แสงหรุบหรู่ของเดือนดวงเดียวที่มาแล้วจากจรอยู่ทุกค่ำคืน นำพาหัวใจหญิงทั้งสองล่องลอยสู่อาณาจักรเร้นลับ

ไม่มีกามาวิถี ถนนที่ทั้งสองเกี่ยวก้อยกันไป เป็นเพียงความเงียบนิ่ง และบทสนทนาถึงเรื่องราวก่อนนั้น

วันที่ความสัมพันธ์งอกงามบนหน้ากระดาษ แผ่นแล้วแผ่นเล่า

“พี่ได้สมุดเล่มนั้นมา ตอนงานครบรอบสุนทรภู่รำลึก ไปร่วมแข่งขันบทกลอนกับชมรม”
“คะเนเคยอ่านสุนทรภู่ตอนเด็กๆ แต่ไม่ติดใจเท่าเรื่องอิเหนา ไม่รู้ทำไม”

“พี่ชอบสุภาษิตสอนหญิงของเขานะ”
“คะ…”

“อย่างที่เขาเขียนว่า...ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา”

สุดคะเนนิ่งไป นานจนพี่ดาวประหลาดใจ
“...เป็นอะไรไปคะ”

“เปล่าค่ะ” เด็กสาวลอบถอนใจแผ่วเบา
“คะเนก็แค่คิดว่า ศิลปะวรรณกรรมมีอำนาจจูงใจคน แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนที่จะพาเราไปทางถูกต้อง…ไม่ใช่สิ อาจจะไม่มีทางถูกต้องก็ได้ แต่เป็นทางที่...เหมาะสม”

“คะเนพูดอะไรฟังยากจัง พี่ดาวตามไม่ทัน”
“ไม่ต้องตามหรอกค่ะ คะเนก็แค่คิดอะไรตามประสา”

เด็กสาวกอดร่างในอ้อมแขนแน่นเข้า
“แต่ก็จริงอย่างในนิราศอิเหนา...จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาด...ประหลาดใจ”


เสียงขลุ่ยแผ่วหวานมาจากที่ใดที่หนึ่ง น่าจะเป็นเพิงพักคนงานก่อสร้างกลางซอย มีบ้านใหญ่หลังหนึ่งกำลังค่อยก่อรูปขึ้นที่นั่น หลายครั้งที่เดินผ่าน สุดคะเนยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึง ‘บ้าน’ ของตัวเอง

ที่นี่กรุงเทพมหานคร เด็กสาวบอกตัวเองบ่อยๆ ไกลจากบ้านเกิดหลายร้อยกิโลเมตร แต่ระยะทางไม่ห่างเท่าใจ

กี่ครั้ง ที่เห็นภาพตัวเองกับกระเป๋าสีเหลือง รอรถ ขึ้นรถ ลงรถ พบปะสัมพันธ์ผู้คน เปิดปิดประตู ผ่านมา ผ่านไป ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง

แต่เวลานี้ ที่มีร่างบางละมุนในอ้อมกอด ยังมีหลายสิ่งติดค้างในห้วงนึกคิด แต่เช่นเคย หัวใจเป็นอิสระ ดังปลาแหวกว่ายสู่ห้วงมหาสมุทร

“ทั้งๆที่...ฉันอาจเป็นปลาแม่น้ำ”
“อะไรนะคะ”
พี่ดาวผงกศีรษะขึ้น

“ไม่มีอะไรค่ะ นอนเถอะ” สุดคะเนสัมผัสอีกฝ่ายเหมือนเด็กเล็กๆ ทนุถนอมราวดอกไม้แบบบาง
“ชอบผมคะเนจังเลยค่ะ” พี่ดาวเอื้อมมือขึ้นลูบ “ถ้าใส่เจลอีกนิด คงเหมือนเด็กผู้ชายซนๆ”

“คะเนชอบใส่ผ้าถุง” เด็กสาวพูด “สบายดีนะคะ”
มีความนิ่งไปเช่นกัน ในหน่วยตางาม
“พี่ดาวไม่เคยเจอทอมคนไหนเป็นแบบคะเนเลย”

แค่บางประโยคเล็กน้อย กลับทำให้สุดคะเนรู้สึกเหมือนมีแมลงไต่ตอมหัวใจ ระคายนิดๆ แต่ยังไม่สามารถเรียบเรียงได้ ขณะร่างกายก่ายกอดชิดแนบบนเตียง ตามองดูพระจันทร์เคลื่อนหายในเมฆแช่มช้า เด็กสาวคิดถึงอะไรต่อมิอะไรมากมาย

ไฟโคมดับลง แสงจันทร์กลับมาอีกครั้ง ในอพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็กที่ข้างล่างยังมีน้ำท่วมขัง มะลิซ้อนผลิดอกนอกระเบียง ในความสลัวราง กุหลาบเมาะลำเลิงหลับใหล

จูบอีกครั้งที่เปลือกตางาม พี่ดาวขยับริมฝีปากนิดๆ เหมือนละเมอ เบียดเข้าหาอีก แต่สุดคะเนไม่มีความต้องการอื่นใด

อีกฟากผนังห้อง เสียงกรนของเด็กหนุ่มบนฟูกดังสนั่น เค็นนอนแผ่หลับสนิทแสนสุข
เด็กสาวตัวเล็กในชุดนอนลายการ์ตูนผุดลุกนั่ง หน้าตาบึ้งตึง

“โอ้ย!!” เค็นลุกพรวด เมื่อหมอนใบเล็กกระแทกอกเต็มๆ
“กระต่าย! เขวี้ยงมาทำไม!!”
“เสียงดัง หนวกหู!”

“ไรวะ!” เค็นร้อง “เป็นไรกระต่าย อยู่ๆ ก็เป็นแม่นางหูเบา ฉันกรนของฉันตั้งแต่เธอยังไม่เกิด มีปัญหาอะไรตอนนี้!”
“ยังมีหน้ายอมรับอีก”

“น้อยๆ หน่อยกระต่าย ปากคอร้ายขึ้นทุกวัน...นอนไม่หลับละซี้ คนเค้ามีแฟนมา เป็นเด็กเป็นเล็ก ยุ่งอะไรเกินตัว”
“ฉันไม่ชอบยายคนนั้นสักนิด”

กระต่ายเม้มปาก

“อ้าว!” เค็นแทบหายง่วง “เห็นเค้าแล้วเหรอ แล้วไม่ชอบเค้าทำไม นี่กระต่าย จะบอกอะไรให้ คนเค้าไม่มีใจก็คือไม่มีใจ คนเราต้องยอมรับความจริง”

“ไม่!” กระต่ายผมยุ่งเหยิง ตาวาว
“พี่คะเนดีเกินกว่าจะตกในมือหญิงแก่แบบนั้น!”

เค็นหัวเราะก๊าก
“อ๋อ...เหรอ แล้วเด็กหญิงกระต่ายก็จะปลดปล่อยสัตว์โลกงั้นซี นี่กระต่ายขอบอกอะไรอีกที”
“อะไร”

“คะเนน่ะ เค้าลึกเกินกว่าจะสนใจเด็กอย่างเธอ ยิ่งทำตัวเป็นแฟนคลับเซ้าซี้ เค้ายิ่งหนีไม่เห็นหรือไง ดีที่เค้าเป็นคนสุภาพ และ...” เค็นยิ้มหวาน “มีความสัมพันธ์อันดีกับฉัน”
“ไม่ต้องสอน”

กระต่ายลุกขึ้น เดินไปเกาะขอบหน้าต่าง มองไม่เห็นอะไรเลย
ห้องนี้มีหน้าต่างเพียงสองบาน อยู่ติดประตูหน้าหลัง แต่สองพี่น้องชินแล้วกับที่พักแห่งนี้

“ฉันไม่ยอมแพ้หรอก เด็กก็มีหัวใจ หัวใจของคนอย่างกระต่ายเข้มแข็งกว่าใครๆ คิดด้วย!”
“อะจ้า” เค็นลากผ้าห่มขึ้นคลุมโปง

“งั้นก็ตามสบาย แม่กระต่ายหมายคะเน อย่ากระซิกทีหลังแล้วกัน อยู่ดีไม่ว่าดี เอาตัวเองไปเข้าแร้วเข้าร่อง”

“พูดอะไรเชยชะมัด”
กระต่ายเบ้ปาก ใช้มือเล็กๆ สางผมหยักยุ่ง

พรุ่งนี้เถอะ จะไปหาพี่คะเนแต่เช้า.


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1361 วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549

29 September 2006

01 นางในวรรณคดี


เดือนกันยายน อีก 1 ปีต่อมา

สุดคะเนหยุดเดินเมื่อสะพานไม้สิ้นสุดลง ผิวน้ำขุ่นจัด มีเศษปฏิกูลลอยเรี่ย ตาดำสนิทกวาดมองรอบๆ อย่างชั่งใจ น้ำขึ้นสูงกว่าที่คิด และไม่มีทางเลือกนอกจากจะย่ำลงไป
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก กระชับถุงในมือมั่น พยายามทรงตัว ถลกขากางเกงพับสูงขึ้นอีก

“อุ๊ย! ระวัง!”
เด็กหนุ่มผิวขาว ตารี เลี้ยวมุมออกมาพอดี
“มา เค็นช่วย” คว้าถุงไก่ย่างไปถือ “หอมถึงห้องเลยนะนี่ ว่าจะออกไปซื้อเหมือนกัน หมดหรือยังไม่รู้”
“ยังมีนะ” สุดคะเนกล่าวขอบคุณ รับถุงคืน “แบ่งมั้ยล่ะ ซื้อมา 3 น่องแน่ะ”
“โอ้โฮ แสดงว่าวันนี้หิวมาก”
“ฮื่อ มัวแต่ปั่นงาน รู้ตัวอีกทีคนออกจากออฟฟิศกันหมดแล้ว คุ้ยหาของกินมีแต่ขนมปังกรอบ จะทานข้างนอกก็ห่วงบ้าน แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอ”
“ถือโอกาส...” เด็กหนุ่มแสร้งป้องปาก “ห่วงบ้านเหมือนกัน...จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก นานทีจะมีเหตุอันควร”

สุดคะเนยิ้มกว้าง เค็นเป็นคนน่ารัก ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ก็ได้เด็กหนุ่มเป็นเพื่อนอีกคน
“อ้อ มีคนมาหาแน่ะ รออยู่หน้าห้อง”
“กระต่ายละสิ” สุดคะเนยิ้ม
“เปล่า ไม่ใช่”
“เอ...งั้นใคร”
“ไม่รู้ใคร แต่มาหาคะเนแน่นอน เพราะขึ้นบันไดไปนั่งหน้าห้องเลย เค็นว่าจะถามอยู่เหมือนกัน แต่ท่าทางเค้า...เอ้อ...ดูไม่อยากคุยกับใคร”

หางเสียงชายหนุ่มแปลกๆ สุดคะเนขมวดคิ้ว นึกไม่ออกว่าเพื่อนคนไหนแวะมา
“ขอบคุณค่ะ งั้นไปก่อนนะ”
“ฮะ อ้อ มีจดหมายอีกฉบับด้วย เค็นรับให้ อยู่ในตะกร้า”
“ไปรษณีย์เข้ามาด้วยเหรอ” สุดคะเนประหลาดใจซ้ำสอง
“สุดยอดอยู่แล้ว ไปซะณีบางอ้อ”
เค็นดัดเสียง สุดคะเนขำมาก ยิ้มตาสว่างไสว
“ไปเถอะๆ เดี๋ยวไก่หมด”
“ก็ถ้าไม่มีเค็นจะกลับมากินด้วย ฮา”

เสียงน้ำป๋อมแป๋มห่างไป เค็นบอกว่า ไหนๆ ก็ย่ำมาแล้วตั้งครึ่งทาง เดินบนสะพานไม่ทันใจ
สุดคะเนก้าวเท้าลงน้ำ ความอุ่นกับเย็นผสมผสาน แขยงนิดๆ แต่ก็กลั้นใจออกเดิน ชีวิตก็อย่างนี้แหละ ฝนตกน้ำท่วม บางครั้งเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเปียกแต่โดยดี ยังอยู่ได้ กินได้ มีที่นอนแห้งสนิท
...ก็ดีมากแล้ว


อพาร์ทเม้นท์นั้นไร้ชื่อ ทาสีขาวเรียบๆ มีเพียงสองชั้น แบ่งเป็น 8 ห้อง หนึ่งห้องน่าจะกว้างราวๆ 16 ตารางเมตร

สุดคะเนย้ายเข้าด้วยกระเป๋าคู่ชีพเพียงใบเดียว แต่สามเดือนให้หลัง เด็กสาวก็จัดมุมเล็กๆ หน้าห้อง ให้เป็นสวนจ้อย (โชคดีได้ห้องท้ายสุด) ลงไม้กระถางหลายชนิด มีม้าหินอ่อนตัวหนึ่งวางขนานระเบียง

กุหลาบหนูเรียงแถวในจุดที่แดดลงมากสุด นอกนั้นก็เป็นพลูชนิดต่างๆ คุณนายตื่นสาย ว่านหางจระเข้ เฟิร์น ฯลฯ
พี่นิล อาร์ตไดฯ ให้กุหลาบเมาะลำเลิงมาสองต้น อวดดอกสีส้มน่าเอ็นดู พี่นุ่มกับทะเลหุ้นกันให้กระบองเพชรหลากสี แต่ที่ถนอมมากที่สุดคือมะลิซ้อนซึ่งคนขายยืนยันว่า ให้ดอกตลอดปี

เงาใครไหวๆ บนระเบียง สุดคะเนล้างเท้าบนลานซีเมนต์ ทะเลมาเยี่ยมกระมัง ตั้งแต่ไม่มีน้ำตาลอีกแล้ว เธอกับเขาก็สนิทมากขึ้น
หรือเป็นพี่นุ่ม ซึ่งบางวันแวะมายืมหนังสืออ่านเล่น แต่ไม่สิ คนเหล่านั้นเค็นรู้จัก

เด็กสาวไม่คิดแม้แต่นิดเดียวว่า บุคคลที่ก้มหน้า ซ่อนไหล่บอบบางในเสื้อสีควันบุหรี่ คือคนที่เลือนจากความรู้สึกนึกคิด...ระยะหนึ่ง


“พี่ดาว! มาได้ยังไงคะ”
สุดคะเนตัวแข็ง ถุงใส่อาหารแทบร่วง ทันทีที่พ้นบันไดขั้นสุดท้าย และเห็นดวงตางามแสนเศร้า
“พี่ดาว! มีอะไรคะ พี่ร้องไห้ทำไม”
สุดคะเนทิ้งถุงอาหารจริงๆ ด้วย ผวาเข้าหาผู้หญิงที่กายไหวระริก โอบกอดด้วยความเป็นห่วงสุดแสน
“พี่...พี่นึกว่าคะเนจะไม่อยู่ที่นี่เสียแล้ว”
“...อยู่สิคะ คะเนเพิ่งออกไปครึ่งชั่วโมงเอง พี่ดาวสิ มาที่นี่ได้ยังไง แล้วดูสิ เปียกไปหมด”
“พี่ตกสะพานน่ะ”
“ตายจริง”

สุดคะเนกอดร่างบางไว้อย่างไม่แคร์สิ่งใดในโลกเลย ลูบไม้ลูบมือเหมือนปลอบเด็กเล็กๆ จูบผม จูบหน้าผาก กระทั่งอีกฝ่ายยันตัวออก
“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวใครเห็น”
“ไม่มีใครอยู่ค่ะ ห้องปิดกันหมด มีแต่เค็น...ห้องเจ็ด ไปซื้อของค่ะ เพิ่งสวนกันตะกี้”
“พี่อยากเข้าห้องน้ำ”
“ได้ค่ะ ได้”
สุดคะเนกุลีกุจอไขกุญแจ พี่ดาวมองถุงอาหารที่หล่นบนทางเดิน เข้าไปเก็บให้
“คะเนยังไม่ได้ทานอะไรหรือคะ”
“พี่ดาวละคะ” แทนคำตอบ เด็กสาวรีบถาม แย่งถุงมาถือแทน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ทั้งสองเข้าข้างใน กลิ่นไก่ย่างอวลขึ้นในห้องแคบ พี่ดาวขอตัวเข้าห้องน้ำ สุดคะเนรีบเปิดประตูที่ทะลุครัวเล็กๆ ยัดถุงอาหารเข้าตู้ ล้างมือลวกๆ
กลับมาอีกครั้ง เห็นแขกผู้มาเยือนจ้องนิ่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ…รูปสุดท้ายของน้ำตาล ที่นั่งในบ้านตลิ่งชัน
“สงสารจังค่ะ ไม่นึกว่าจะอายุสั้นขนาดนี้”
สุดคะเนไม่พูด เข้ารั้งร่างที่เปียกน้ำกว่าเดิม
“เปลี่ยนเสื้อนะคะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
“คิดถึงคะเนจังเลย”
พี่ดาวกลับหมุนตัวมาหา ทาบฝ่ามือบนแก้ม มองอย่างโหยหา

หัวใจสุดคะเนแทบขาด วันนี้เธอตื่นหรือหลับฝัน จู่ๆ ผู้หญิงซึ่งเคยมีชีวิตแต่บนหน้ากระดาษก็ปรากฏขึ้น ไม่มีใครอื่น มีแต่ห้วงอารมณ์ที่ผุดพลุ่งเหมือนตาน้ำใต้ดิน
มิอาจห้ามการหลั่งไหล มิสามารถหยุดยั้งด้วยสิ่งใด เด็กสาวครางเสียงแผ่วเมื่อริมฝีปากแสนหวานชิดเข้ามา
หากพราวน้ำตามิเหือดหาย เพียงย้ายจากคนหนึ่งสู่อีกคน พี่ดาวถอนจูบ สุดคะเนก็ถอนสะอื้น

“คะเน...ร้องไห้ทำไม”
“แล้วพี่ดาวละคะ ตะกี้ร้องไห้ทำไม”
“พี่...กลัวจะไม่เจอคะเน กลัวเจอคะเนอยู่กับคนอื่นอีก...กลัวไปหมด”
“ก็เหมือนกัน...คะเนกลัวว่านี่จะเป็นแค่ความฝัน พอขยับตัว พี่ดาวก็จะหายไปอีก”
“คนดีของพี่”

หญิงสาวผมยาวกอดรัดเด็กสาวผมสั้น ต่างเวียนจูบหอม ด้วยเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันในที่ส่วนตัว ไม่มีใครอื่น
เดินช้าๆ เถิดนะนาฬิกา สุดคะเนนึกวอน


เสียงย่ำน้ำเข้าตึกมาอีกครั้ง เค็นคงกลับมาแล้ว

“พี่ดาวอยู่ค้างใช่มั้ยคะคืนนี้” สุดคะเนถามเสียงถามแผ่ว กลั้นใจฟังคำตอบ
“ค่ะ”
เด็กสาวผมถักเปียที่หิ้วถุงผลไม้ขึ้นบันไดมาชะงัก เมื่อเห็นรองเท้าหน้าห้องริมสุดและยินเสียงลอด
“งั้นพี่ดาวอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย ไปค่ะ คะเนหาเสื้อให้”
ถึงหน้าประตูห้องเจ็ด แต่ร่างเล็กยังรีรอที่จะไขเข้าห้อง จนเค็นเดินขึ้นตึกมาพร้อมถุงส้มตำ

“อ้าว กระต่าย ไหนว่ามีเรียนดนตรี”
“ใครมาน่ะพี่เค็น ไม่เคยเห็นรองเท้ามาก่อนเลย”
เค็นทำหน้าเหวอมาก
“โฮ้ย! น้องสาวชั้น จำรองเท้าคนทั้งประเทศได้ด้วยเหรอนี่”
“ไอ้เค็นบ้า!” กระต่ายด่าแต่สายตายังเหลือบแลยังประตูที่ปิดสนิท
“บอกหน่อยสิ ผู้หญิง ผู้ชาย เพื่อนคนไหนของพี่คะเน”
“แฟนเค้ามั้ง” เค็นตีหน้าตาย “สาว สวย งาม...เหมือนเดินออกมาจากวรรณคดีแน่ะ”

กระต่ายหน้าซีดเผือด...นางในวรรณคดี คนที่อยู่ในเรื่องเล่า เรื่องสั้น บทกวี และงานเขียนมากมายของพี่สุดคะเน
...คนนั้นนะหรือ....



ตีพิมพ์ครั้งแรก

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1360 วันที่ 08 กันยายน พ.ศ. 2549