06 May 2007

14 ที่นี่

[สุดคะเนจ๊ะ เคยฟังเพลงนี้ไหม


“...คืนมืดหม่น ไร้ผู้คนหมางเมินห่างไกล
ใครให้กำลังใจ ใครจุดไฟให้เราก้าวนำ
ความทรงจำย้ำเตือน...มิเคยเลือน
อดีตฝังจำ รอยเท้าเคยเหยียบย่ำ ไปตามหนทางเป็นไท...
เคยนอนหนาวสั่น ผิงไฟกันที่ริมท้ายไร่
คุยข้ามเปลผ้าใบ ใจสู่ใจซึ้งในวิญญาณ
...ฟังลำธารไหลริน เสียงยุงบินแทนสื่อสัญญาณ
พาฝันล่องลอยผ่าน ลำธารเสรีพลีธรรม...”

ฉันกำลังคิดถึงพี่ชายคนหนึ่งที่รักมาก เคยสับสนกับชีวิตในเมืองกรุง
ถึงกับดั้นด้นไปหาเขาถึงอุทัยธานี ทั้งที่มีที่อยู่บนหัวจดหมายที่มาจากเขาเท่านั้นเอง
ไปช่วยเขาเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ดูเขาทำเกษตรผสมผสาน ไปนอนดูฟ้าดูดาวกับเขา
เพลงนี้...ก็ฟังครั้งแรกจากเขานั่นแหละ แล้วเลยกลายเป็นเพลงที่เหมือนเป็นกำลังใจ
ร้องบ่อยๆ เวลาท้อ และเวลาที่คิดถึงคืนวันอันแสนดีเหล่านั้น...]

สายลมพัดมาจากไหน ใต้หรือเหนือ หรือจากเมืองแมนแดนใดที่ไม่รู้จัก
สุดคะเนสูดลมหายใจลึกๆ ในมือมีจดหมายฉบับใหม่จาก The Moon
กุหลาบเมาะลำเลิงหน้าห้องเหี่ยวเฉา เพราะแดดแรงหรือลืมรดน้ำกันแน่
จมูกได้กลิ่นโคลนลอยขึ้นจากบึงหมาดน้ำข้างอพาร์ทเม้นท์
ฝนทิ้งช่วงไปแล้ว ผักตบชวาชูช่อสวย มีชีวิตแม้ในแอ่งน้ำขังเพียงเล็กน้อย
เช่นเดียวกับดอกไม้สีม่วงอีกชนิด แตกดอกรูประฆังในกระถางผุ
หูกวางข้างสนามหญ้าร้างซึ่งกลายเป็นลานฟุตบอลของเด็กๆ ไปเสียแล้ว
ผลิใบหรือสลัดใบ?

แปลกจริง สุดคะเนรู้สึกว่าตัวเองแยกแยะอะไรต่อมิอะไรยากเหลือเกิน
มีเสียงเล็กๆ พยายามพูดอะไรสักอย่างข้างใน
เหมือนเสียงจากต้นส้มของเด็กชายเซเซ่ หรือเป็นคำกระซิบของภูติพราย

[…เฮ้อ ดูเถอะ อุตส่าห์เป็นแม่สาวใจกล้า บุกไปค้างอ้างแรมกับเขาได้
แต่ความรู้สึกในใจไม่เคยบอกเขาสักที เขาก็ดี๊...ดี
ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีของน้องสาวตลอดมา...จนกระทั่งทุกวันนี้
(ยังกะตอนจบของนิทาน)
แต่ว่า...แบบนี้อาจจะสวยงามกว่าก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าถ้าบอกแล้ว
เขาจะยังอ่อนโยน และยอมเราทุกอย่างแบบนี้ไหม...]

สุดคะเนหน้าร้อนผ่าว The Moon หรือพระจันทร์คนนี้มักมีคำพูดกระทบใจ...
โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งแสนซื่อ กล้าไว้ใจคนแปลกหน้า
หรือว่า...คนอื่นไว้ใจได้ เว้นแต่...



“ทำอะไรอยู่คะพี่คะเน!”
กระต่ายร่าเริง กระโดดขึ้นบันไดแทบไม่พัก แก้มสีชมพูจัดเมื่อยืนหน้าห้องหมายเลข 8

“เหนื่อยจังเลยค่ะ วันนี้รถเมล์แน้นแน่น หิวน้ำจัง...”
ขายาวๆ เตรียมก้าวเข้าข้างใน

แต่เจ้าของห้องลุกขึ้นเสียก่อน พูดเสียงเรียบ
“เค็นกลับมาแล้วนี่คะ”

กระต่ายหน้าเผือดไปทันที ตาเปล่งปลั่งสลดวูบเหมือนดาวตก พูดเสียงเบา
“ยุ่งอยู่หรือคะ”

“ค่ะ”

เด็กผมเปียพูดไม่ออก ตาเหลือบเห็นจดหมายบนโต๊ะ
“เอ๊ะ! จดหมายใครกันคะ มีมาบ๊อยบ่อย”

สุดคะเนเก็บทันที แต่กระต่ายมือเร็ว คว้ามาได้แผ่นหนึ่ง อ่านออกเสียงดังๆ
“...ไม่รู้ทำไมเล่าให้สุดคะเนฟัง อ่านจดหมายของเธอแล้วความคิดเพริดไปไหนต่อไหน
บางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกันสักนิด ฉันก็เป็นอย่างนี้ บางคน (หลายคน)
บอกว่าฉันเป็นคนเข้าใจยาก เป็นพวกซับซ้อนซ่อนเงื่อน
(ฉันชอบอกาธา คริสตี้จัง...เธอชอบไหม) เป็นพวกสับสนกับวันเวลา
บางทีดูอะไรอยู่ ฉันก็พูดเรื่องที่มันไกลแสนไกลจากสิ่งที่กำลังดู
ฮื้อ...ช่างเถอะ ใครจะไม่เข้าใจ
คะเนฝากความคิดถึงมากับแสงดาว...
ดูสิ ฉันรีบออกไปแหงนดูฟ้าจนเมื่อยคอก็ยังไม่เห็นสักดวง...”

กระต่ายมีสายตาแบบนั้นด้วยหรือ?
สุดคะเนเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อเสียงอ่านจดหมายหยุดลง
อยากทุบหัวตัวเองอีกสิบรอบที่เผลอไปกับเนื้อความเช่นกัน...

“...คิดถึง...”

กระต่ายเสียงเบามาก นั่นใช่น้ำตาหรือเปล่า?
หรือเป็นเงาสะท้อนของแดด?

“เค้าเป็นใครหรือคะ...ไม่ใช่คนที่เคยมาใช่มั้ย”

“อย่ายุ่ง! เรื่องของพี่”

มีเสียงเล็กๆ อีกแล้ว พูดอะไรจับความไม่ได้ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง

...คนเราทำร้ายกันด้วยเหตุใด...

สุดคะเนหันรีหันขวาง ตะเพิดไล่
“ไปได้แล้ว! วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก ห้ามยุ่งของๆ พี่!”

มือกระชากจดหมายกลับ พับลงซองอย่างทนุถนอม
กระต่ายยังเบิ่งตากว้าง ก่อนน้ำตาจะไหลช้าๆ ไร้เสียง

สุดคะเนประตูปิดดังปัง!



ไม่เห็นพระจันทร์เลยคืนนี้
นาฬิกาบอกเวลาไม่ถึงสี่ทุ่ม แต่เหมือนเงียบและมืดกว่าทุกวัน
สุดคะเนยังไม่ได้อาบน้ำเลย พิมพ์ดีดบรรจุกระดาษว่างเปล่า
อีกหลายแผ่นถูกขยำเกลื่อนพื้น
ถอนใจ ดึงสีนวลจดหมายจากซอง


[…แต่ที่นี่ คืนนี้เมฆเต็มฟ้าเทียวจ้ะ
สงสัยความคิดถึงของเธอคงต้องทำงานหนักสักหน่อยละจึงจะฝ่าเมฆหมอกลงมาได้
แต่คงไม่ยากหรอก เพราะดูท่าทางมันจะแข็งแรงดีอยู่ (มีรูปก้อมเมฆยิ้มแฉ่ง)

...อยากฟังเพลง...ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีแง่งาม …
ของใครกันหรือจ๊ะ ความจริงฉันรักเพลงลูกทุ่ง โก่งคอร้องอยู่บ่อยๆ
ชอบเพลง...หอมเอยหอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง ...
หรือไม่ก็...ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำระงมไปทั่วท้องนา ...
อีกเพลงน่ารักเชียว เคยได้ยินมั้ยที่ร้องว่า...เกิดในนาป่าดอน แขนไม่อ่อนเหมือนสาวกรุง
หน้าไม่เคยแต่งปรุง งานในท้องทุ่งมีทั้งวัน ปากไม่แดงช่างมัน ฉันเป็นสาวภูธร ...
ฟังแล้วหลงรักสาวชนบทน่าดู
ฉันว่าเพลงลูกทุ่งมีกลิ่นอายของชีวิต มีความรู้สึก และมีอารมณ์ละมุน
ซื่อและจริงใจ หรือเธอว่าไงจ๊ะ เธอชอบหรือเปล่า...]

เพลงลูกทุ่งงั้นหรือ...
สุดคะเนนึกถึงเพลงที่เคยฟังตอนเด็กๆ เพลงหนึ่ง
...โลกหมุนให้เราพบกันชั่วครู่ชั่วคราว แต่เราไม่มีกุศล...
จำได้ลางๆ ว่า เคยยืนในแสงแดดอุ่นฟังเพลงของนักร้องคนนี้ที่กังวานไปครึ่งหมู่บ้าน
ทั้งที่ดังมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กๆ เพราะใครที่ได้ยินก็มักจะร้องตาม...

The Moon ทำให้หวนคิดถึงอดีตที่ล่วงไปแล้ว...อีกแล้ว



ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบาๆ แต่แล้วหยุดไป
สุดคะเนชะงัก เงี่ยหูฟัง แต่ก็เงียบนานเหลือเกิน
จนกระทั่งได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ หน้าห้อง
...เสียงฝีเท้าเดินออกไป

“กระต่าย...!”
ลุกพรวดไปเปิดประตู เด็กผมเปียหันมา
ในความสลัวยังเห็นดวงตาแดงช้ำ ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยหรือไง?

“เค็นล่ะ” ถามอะไรไม่รู้ แต่กระต่ายก็ตอบ

“ออกไปข้างนอกแล้ว ทะเลาะกัน”

“เด็กโง่”
สุดคะเนว่า แต่แล้วก็ดึงข้อมือคนเจ้าน้ำตาเข้ามาในห้อง

“เข้ามาก่อน เดี๋ยวใครเห็นเข้าจะไม่ดี”

“ไม่เห็นเป็นไร” กระต่ายดึงมือกลับ

“ไม่เคยร้องไห้กันบ้างหรือไง ยุ่งสิจะด่าเข้าให้”

“ยังปากดีอยู่อีก” เช็ดน้ำตาให้

“ดูสิ เลอะเทอะเป็นแมวแล้ว ร้องไห้น่ะไม่แปลกหรอก แต่คนจะสงสัยว่าเพราะอะไร”
พูดจบก็นิ่งไปเอง

“ช่างเถอะ”
ใจส่วนไหนกันหรือที่อ่อนเป็นผืนดินโดนน้ำ
หรือกุหลาบเมาะลำเลิงที่หน้าห้องเหี่ยวเฉาให้เห็น จึงเห็นใจ

“ดึกแล้วนะ ยังไม่อาบน้ำอีก อยู่ชุดเดิมแบบนี้ไม่เหม็นตัวเองหรือไง”
ปากพูด มือเสยผมที่ระปิดแก้ม กระต่ายตัวสูงแข็งขืน
แต่หัวใจก็แบ่งเป็นสองฟากเหมือนกัน ฝั่งหนึ่งบอกให้ไป...รีบๆ ไปเสีย
อีกฝั่งรั้งว่าอยู่ก่อนเถอะนะ...เค้าอุตส่าห์ดีด้วย

“ผมก็ยาว แห้งช้า ระวังจะเป็นหวัด”

สายตากระต่ายมองไป
จดหมายฉบับเดิมอยู่นอกซองเหมือนเดิม...ยังวางข้างโต๊ะทำงาน

สุดคะเนมองตาม ผลักกระต่ายออกห่างจนเด็กน้อยหน้าเสียอีกครั้ง
มือสีน้ำตาลเก็บจดหมายเข้าซอง พูดเรียบๆ โดยไม่หันมาสักนิด



“กลับไปอาบน้ำก่อนมั้ย หรือจะอาบที่นี่...ให้พี่อาบให้?”

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1379 วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2550

No comments: