30 September 2006

02 กระต่ายหมายคะเน

ในห้องสีขาวคืนนี้ เปิดไฟโคมเพียงดวงเดียว

พี่ดาวอาบน้ำสระผมแล้ว กลิ่นจางๆ ของแชมพูมะลิยังเคลือบคลุมบนเรือนผมที่ยาวถึงกลางหลัง ดำสนิท นุ่มเหมือนเส้นไหม

หญิงสาวดึงหนังสือเล่มหนึ่งจากหัวเตียง ‘แพลทเทอโร แอนด์ ไอ’

สุดคะเนเข้ามานั่งข้างๆ ในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็ก ประจงซับหยดน้ำให้
พี่ดาวหันมายิ้ม นัยน์ตาบอกถึงความอบอุ่น เป็นสุข สุดคะเนยิ้มตอบ จูบเร็วๆ ที่แก้ม

“ไม่ทำงานหรือคะ”
“คะ?”
“ก็...คะเนต้องเขียนหนังสือไม่ใช่หรือ ไหนว่าพรุ่งนี้ต้องส่งต้นฉบับแต่เช้า พี่ไม่กวนนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”

สุดคะเนหัวเราะ ทิ้งตัวบนเตียง ดึงอีกฝ่ายให้ล้มลงด้วย

“อุ้ย!” พี่ดาวขืนไว้ แต่แล้วก็โอนอ่อน
“ใครจะบ้าทำอย่างอื่น มีพี่ดาวอยู่ด้วยแบบนี้”
“หวานจริง”

ตามองตา ชิดจนยินเสียงหัวใจเต้นแรง พี่ดาวพริ้มตาลง

“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”
“นั่นซี” สุดคะเนจูบหน้าผากนวล
“...จากคนไกลถึงคนไกล...ให้รับรู้ ”
“มาเป็นคู่กรณีกันดีกว่า...”

“...ต่างมีศาลชื่อศาล กาลเวลา”
“ตัดสินว่าใครคงมั่น...นานกว่าใคร”

จบคำกลอนที่ท่องต่อกัน พี่ดาวก็ซุกนิ่งในอ้อมแขนสุดคะเน พึมพำ

“ไม่นึกเลยว่าจะจำบทกลอนของพี่ได้”
“ได้สิคะ” สุดคะเนตอบ “คะเนเก็บสมุดคำกลอนของพี่ดาวไว้กับตัวเสมอ...อ่านบ่อยๆ จำได้แม้แต่ตอนนี้ ในหน้าเดียวกัน มีบางวรรคจากพระอภัยมณีด้วย”
“จริงหรือคะ”

“จริงสิ...ที่บอกว่า...ด้วยวิสัยในประเทศทุกเขตแคว้น ถึงโกรธแค้นความรักย่อมหักหาย อันความจริงหญิงก็ม้วยลงด้วยชาย ชายก็ตายลงด้วยหญิงจริงดังนี้”
“แต่ในความจริง หญิงก็ตายเพราะหญิงได้เหมือนกัน...”

“ส่วนหน้าซ้าย...” สุดคะเนต่อ “มาจากนิราศพระบาท...เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น ระวังตนตีนมือระมัดมั่น เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล”

“ทำไมคะเนจำเก่งขนาดนี้”
พี่ดาวเงยหน้าขึ้นดูคู่รักซึ่งอายุน้อยกว่าถึง 10 ปี สุดคะเนยิ้มจนเห็นรอยย่นที่หางตา

“คะเนความจำดี พี่ดาวไม่รู้หรือ อะไรที่ผ่านไปผ่านมาในชีวิต สำหรับคนอื่นอาจเหมือนลมพัดผ่านไป แต่กับคะเน เหมือนน้ำกับฝั่งมากกว่า”

“..................”
“ฝั่งที่ถูกน้ำเซาะ น้ำซัด ไม่มีทางจะลบเลือนร่องรอย”


พระจันทร์ขึ้นแล้ว มองจากหน้าต่างบานเกล็ดที่มีมะพร้าวต้นหนึ่งยืนขนาบใกล้ๆ แสงหรุบหรู่ของเดือนดวงเดียวที่มาแล้วจากจรอยู่ทุกค่ำคืน นำพาหัวใจหญิงทั้งสองล่องลอยสู่อาณาจักรเร้นลับ

ไม่มีกามาวิถี ถนนที่ทั้งสองเกี่ยวก้อยกันไป เป็นเพียงความเงียบนิ่ง และบทสนทนาถึงเรื่องราวก่อนนั้น

วันที่ความสัมพันธ์งอกงามบนหน้ากระดาษ แผ่นแล้วแผ่นเล่า

“พี่ได้สมุดเล่มนั้นมา ตอนงานครบรอบสุนทรภู่รำลึก ไปร่วมแข่งขันบทกลอนกับชมรม”
“คะเนเคยอ่านสุนทรภู่ตอนเด็กๆ แต่ไม่ติดใจเท่าเรื่องอิเหนา ไม่รู้ทำไม”

“พี่ชอบสุภาษิตสอนหญิงของเขานะ”
“คะ…”

“อย่างที่เขาเขียนว่า...ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา”

สุดคะเนนิ่งไป นานจนพี่ดาวประหลาดใจ
“...เป็นอะไรไปคะ”

“เปล่าค่ะ” เด็กสาวลอบถอนใจแผ่วเบา
“คะเนก็แค่คิดว่า ศิลปะวรรณกรรมมีอำนาจจูงใจคน แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนที่จะพาเราไปทางถูกต้อง…ไม่ใช่สิ อาจจะไม่มีทางถูกต้องก็ได้ แต่เป็นทางที่...เหมาะสม”

“คะเนพูดอะไรฟังยากจัง พี่ดาวตามไม่ทัน”
“ไม่ต้องตามหรอกค่ะ คะเนก็แค่คิดอะไรตามประสา”

เด็กสาวกอดร่างในอ้อมแขนแน่นเข้า
“แต่ก็จริงอย่างในนิราศอิเหนา...จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาด...ประหลาดใจ”


เสียงขลุ่ยแผ่วหวานมาจากที่ใดที่หนึ่ง น่าจะเป็นเพิงพักคนงานก่อสร้างกลางซอย มีบ้านใหญ่หลังหนึ่งกำลังค่อยก่อรูปขึ้นที่นั่น หลายครั้งที่เดินผ่าน สุดคะเนยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึง ‘บ้าน’ ของตัวเอง

ที่นี่กรุงเทพมหานคร เด็กสาวบอกตัวเองบ่อยๆ ไกลจากบ้านเกิดหลายร้อยกิโลเมตร แต่ระยะทางไม่ห่างเท่าใจ

กี่ครั้ง ที่เห็นภาพตัวเองกับกระเป๋าสีเหลือง รอรถ ขึ้นรถ ลงรถ พบปะสัมพันธ์ผู้คน เปิดปิดประตู ผ่านมา ผ่านไป ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง

แต่เวลานี้ ที่มีร่างบางละมุนในอ้อมกอด ยังมีหลายสิ่งติดค้างในห้วงนึกคิด แต่เช่นเคย หัวใจเป็นอิสระ ดังปลาแหวกว่ายสู่ห้วงมหาสมุทร

“ทั้งๆที่...ฉันอาจเป็นปลาแม่น้ำ”
“อะไรนะคะ”
พี่ดาวผงกศีรษะขึ้น

“ไม่มีอะไรค่ะ นอนเถอะ” สุดคะเนสัมผัสอีกฝ่ายเหมือนเด็กเล็กๆ ทนุถนอมราวดอกไม้แบบบาง
“ชอบผมคะเนจังเลยค่ะ” พี่ดาวเอื้อมมือขึ้นลูบ “ถ้าใส่เจลอีกนิด คงเหมือนเด็กผู้ชายซนๆ”

“คะเนชอบใส่ผ้าถุง” เด็กสาวพูด “สบายดีนะคะ”
มีความนิ่งไปเช่นกัน ในหน่วยตางาม
“พี่ดาวไม่เคยเจอทอมคนไหนเป็นแบบคะเนเลย”

แค่บางประโยคเล็กน้อย กลับทำให้สุดคะเนรู้สึกเหมือนมีแมลงไต่ตอมหัวใจ ระคายนิดๆ แต่ยังไม่สามารถเรียบเรียงได้ ขณะร่างกายก่ายกอดชิดแนบบนเตียง ตามองดูพระจันทร์เคลื่อนหายในเมฆแช่มช้า เด็กสาวคิดถึงอะไรต่อมิอะไรมากมาย

ไฟโคมดับลง แสงจันทร์กลับมาอีกครั้ง ในอพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็กที่ข้างล่างยังมีน้ำท่วมขัง มะลิซ้อนผลิดอกนอกระเบียง ในความสลัวราง กุหลาบเมาะลำเลิงหลับใหล

จูบอีกครั้งที่เปลือกตางาม พี่ดาวขยับริมฝีปากนิดๆ เหมือนละเมอ เบียดเข้าหาอีก แต่สุดคะเนไม่มีความต้องการอื่นใด

อีกฟากผนังห้อง เสียงกรนของเด็กหนุ่มบนฟูกดังสนั่น เค็นนอนแผ่หลับสนิทแสนสุข
เด็กสาวตัวเล็กในชุดนอนลายการ์ตูนผุดลุกนั่ง หน้าตาบึ้งตึง

“โอ้ย!!” เค็นลุกพรวด เมื่อหมอนใบเล็กกระแทกอกเต็มๆ
“กระต่าย! เขวี้ยงมาทำไม!!”
“เสียงดัง หนวกหู!”

“ไรวะ!” เค็นร้อง “เป็นไรกระต่าย อยู่ๆ ก็เป็นแม่นางหูเบา ฉันกรนของฉันตั้งแต่เธอยังไม่เกิด มีปัญหาอะไรตอนนี้!”
“ยังมีหน้ายอมรับอีก”

“น้อยๆ หน่อยกระต่าย ปากคอร้ายขึ้นทุกวัน...นอนไม่หลับละซี้ คนเค้ามีแฟนมา เป็นเด็กเป็นเล็ก ยุ่งอะไรเกินตัว”
“ฉันไม่ชอบยายคนนั้นสักนิด”

กระต่ายเม้มปาก

“อ้าว!” เค็นแทบหายง่วง “เห็นเค้าแล้วเหรอ แล้วไม่ชอบเค้าทำไม นี่กระต่าย จะบอกอะไรให้ คนเค้าไม่มีใจก็คือไม่มีใจ คนเราต้องยอมรับความจริง”

“ไม่!” กระต่ายผมยุ่งเหยิง ตาวาว
“พี่คะเนดีเกินกว่าจะตกในมือหญิงแก่แบบนั้น!”

เค็นหัวเราะก๊าก
“อ๋อ...เหรอ แล้วเด็กหญิงกระต่ายก็จะปลดปล่อยสัตว์โลกงั้นซี นี่กระต่ายขอบอกอะไรอีกที”
“อะไร”

“คะเนน่ะ เค้าลึกเกินกว่าจะสนใจเด็กอย่างเธอ ยิ่งทำตัวเป็นแฟนคลับเซ้าซี้ เค้ายิ่งหนีไม่เห็นหรือไง ดีที่เค้าเป็นคนสุภาพ และ...” เค็นยิ้มหวาน “มีความสัมพันธ์อันดีกับฉัน”
“ไม่ต้องสอน”

กระต่ายลุกขึ้น เดินไปเกาะขอบหน้าต่าง มองไม่เห็นอะไรเลย
ห้องนี้มีหน้าต่างเพียงสองบาน อยู่ติดประตูหน้าหลัง แต่สองพี่น้องชินแล้วกับที่พักแห่งนี้

“ฉันไม่ยอมแพ้หรอก เด็กก็มีหัวใจ หัวใจของคนอย่างกระต่ายเข้มแข็งกว่าใครๆ คิดด้วย!”
“อะจ้า” เค็นลากผ้าห่มขึ้นคลุมโปง

“งั้นก็ตามสบาย แม่กระต่ายหมายคะเน อย่ากระซิกทีหลังแล้วกัน อยู่ดีไม่ว่าดี เอาตัวเองไปเข้าแร้วเข้าร่อง”

“พูดอะไรเชยชะมัด”
กระต่ายเบ้ปาก ใช้มือเล็กๆ สางผมหยักยุ่ง

พรุ่งนี้เถอะ จะไปหาพี่คะเนแต่เช้า.


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1361 วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549

1 comment:

Anonymous said...

มาลงชื่อขึ้นบ้านใหม่คนแรก
อยากเป็นคนแรก haha
เดี๋ยวดึกๆ จะมาอ่านนะจ๊ะ