29 September 2006

01 นางในวรรณคดี


เดือนกันยายน อีก 1 ปีต่อมา

สุดคะเนหยุดเดินเมื่อสะพานไม้สิ้นสุดลง ผิวน้ำขุ่นจัด มีเศษปฏิกูลลอยเรี่ย ตาดำสนิทกวาดมองรอบๆ อย่างชั่งใจ น้ำขึ้นสูงกว่าที่คิด และไม่มีทางเลือกนอกจากจะย่ำลงไป
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก กระชับถุงในมือมั่น พยายามทรงตัว ถลกขากางเกงพับสูงขึ้นอีก

“อุ๊ย! ระวัง!”
เด็กหนุ่มผิวขาว ตารี เลี้ยวมุมออกมาพอดี
“มา เค็นช่วย” คว้าถุงไก่ย่างไปถือ “หอมถึงห้องเลยนะนี่ ว่าจะออกไปซื้อเหมือนกัน หมดหรือยังไม่รู้”
“ยังมีนะ” สุดคะเนกล่าวขอบคุณ รับถุงคืน “แบ่งมั้ยล่ะ ซื้อมา 3 น่องแน่ะ”
“โอ้โฮ แสดงว่าวันนี้หิวมาก”
“ฮื่อ มัวแต่ปั่นงาน รู้ตัวอีกทีคนออกจากออฟฟิศกันหมดแล้ว คุ้ยหาของกินมีแต่ขนมปังกรอบ จะทานข้างนอกก็ห่วงบ้าน แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอ”
“ถือโอกาส...” เด็กหนุ่มแสร้งป้องปาก “ห่วงบ้านเหมือนกัน...จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก นานทีจะมีเหตุอันควร”

สุดคะเนยิ้มกว้าง เค็นเป็นคนน่ารัก ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ก็ได้เด็กหนุ่มเป็นเพื่อนอีกคน
“อ้อ มีคนมาหาแน่ะ รออยู่หน้าห้อง”
“กระต่ายละสิ” สุดคะเนยิ้ม
“เปล่า ไม่ใช่”
“เอ...งั้นใคร”
“ไม่รู้ใคร แต่มาหาคะเนแน่นอน เพราะขึ้นบันไดไปนั่งหน้าห้องเลย เค็นว่าจะถามอยู่เหมือนกัน แต่ท่าทางเค้า...เอ้อ...ดูไม่อยากคุยกับใคร”

หางเสียงชายหนุ่มแปลกๆ สุดคะเนขมวดคิ้ว นึกไม่ออกว่าเพื่อนคนไหนแวะมา
“ขอบคุณค่ะ งั้นไปก่อนนะ”
“ฮะ อ้อ มีจดหมายอีกฉบับด้วย เค็นรับให้ อยู่ในตะกร้า”
“ไปรษณีย์เข้ามาด้วยเหรอ” สุดคะเนประหลาดใจซ้ำสอง
“สุดยอดอยู่แล้ว ไปซะณีบางอ้อ”
เค็นดัดเสียง สุดคะเนขำมาก ยิ้มตาสว่างไสว
“ไปเถอะๆ เดี๋ยวไก่หมด”
“ก็ถ้าไม่มีเค็นจะกลับมากินด้วย ฮา”

เสียงน้ำป๋อมแป๋มห่างไป เค็นบอกว่า ไหนๆ ก็ย่ำมาแล้วตั้งครึ่งทาง เดินบนสะพานไม่ทันใจ
สุดคะเนก้าวเท้าลงน้ำ ความอุ่นกับเย็นผสมผสาน แขยงนิดๆ แต่ก็กลั้นใจออกเดิน ชีวิตก็อย่างนี้แหละ ฝนตกน้ำท่วม บางครั้งเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเปียกแต่โดยดี ยังอยู่ได้ กินได้ มีที่นอนแห้งสนิท
...ก็ดีมากแล้ว


อพาร์ทเม้นท์นั้นไร้ชื่อ ทาสีขาวเรียบๆ มีเพียงสองชั้น แบ่งเป็น 8 ห้อง หนึ่งห้องน่าจะกว้างราวๆ 16 ตารางเมตร

สุดคะเนย้ายเข้าด้วยกระเป๋าคู่ชีพเพียงใบเดียว แต่สามเดือนให้หลัง เด็กสาวก็จัดมุมเล็กๆ หน้าห้อง ให้เป็นสวนจ้อย (โชคดีได้ห้องท้ายสุด) ลงไม้กระถางหลายชนิด มีม้าหินอ่อนตัวหนึ่งวางขนานระเบียง

กุหลาบหนูเรียงแถวในจุดที่แดดลงมากสุด นอกนั้นก็เป็นพลูชนิดต่างๆ คุณนายตื่นสาย ว่านหางจระเข้ เฟิร์น ฯลฯ
พี่นิล อาร์ตไดฯ ให้กุหลาบเมาะลำเลิงมาสองต้น อวดดอกสีส้มน่าเอ็นดู พี่นุ่มกับทะเลหุ้นกันให้กระบองเพชรหลากสี แต่ที่ถนอมมากที่สุดคือมะลิซ้อนซึ่งคนขายยืนยันว่า ให้ดอกตลอดปี

เงาใครไหวๆ บนระเบียง สุดคะเนล้างเท้าบนลานซีเมนต์ ทะเลมาเยี่ยมกระมัง ตั้งแต่ไม่มีน้ำตาลอีกแล้ว เธอกับเขาก็สนิทมากขึ้น
หรือเป็นพี่นุ่ม ซึ่งบางวันแวะมายืมหนังสืออ่านเล่น แต่ไม่สิ คนเหล่านั้นเค็นรู้จัก

เด็กสาวไม่คิดแม้แต่นิดเดียวว่า บุคคลที่ก้มหน้า ซ่อนไหล่บอบบางในเสื้อสีควันบุหรี่ คือคนที่เลือนจากความรู้สึกนึกคิด...ระยะหนึ่ง


“พี่ดาว! มาได้ยังไงคะ”
สุดคะเนตัวแข็ง ถุงใส่อาหารแทบร่วง ทันทีที่พ้นบันไดขั้นสุดท้าย และเห็นดวงตางามแสนเศร้า
“พี่ดาว! มีอะไรคะ พี่ร้องไห้ทำไม”
สุดคะเนทิ้งถุงอาหารจริงๆ ด้วย ผวาเข้าหาผู้หญิงที่กายไหวระริก โอบกอดด้วยความเป็นห่วงสุดแสน
“พี่...พี่นึกว่าคะเนจะไม่อยู่ที่นี่เสียแล้ว”
“...อยู่สิคะ คะเนเพิ่งออกไปครึ่งชั่วโมงเอง พี่ดาวสิ มาที่นี่ได้ยังไง แล้วดูสิ เปียกไปหมด”
“พี่ตกสะพานน่ะ”
“ตายจริง”

สุดคะเนกอดร่างบางไว้อย่างไม่แคร์สิ่งใดในโลกเลย ลูบไม้ลูบมือเหมือนปลอบเด็กเล็กๆ จูบผม จูบหน้าผาก กระทั่งอีกฝ่ายยันตัวออก
“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวใครเห็น”
“ไม่มีใครอยู่ค่ะ ห้องปิดกันหมด มีแต่เค็น...ห้องเจ็ด ไปซื้อของค่ะ เพิ่งสวนกันตะกี้”
“พี่อยากเข้าห้องน้ำ”
“ได้ค่ะ ได้”
สุดคะเนกุลีกุจอไขกุญแจ พี่ดาวมองถุงอาหารที่หล่นบนทางเดิน เข้าไปเก็บให้
“คะเนยังไม่ได้ทานอะไรหรือคะ”
“พี่ดาวละคะ” แทนคำตอบ เด็กสาวรีบถาม แย่งถุงมาถือแทน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ทั้งสองเข้าข้างใน กลิ่นไก่ย่างอวลขึ้นในห้องแคบ พี่ดาวขอตัวเข้าห้องน้ำ สุดคะเนรีบเปิดประตูที่ทะลุครัวเล็กๆ ยัดถุงอาหารเข้าตู้ ล้างมือลวกๆ
กลับมาอีกครั้ง เห็นแขกผู้มาเยือนจ้องนิ่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ…รูปสุดท้ายของน้ำตาล ที่นั่งในบ้านตลิ่งชัน
“สงสารจังค่ะ ไม่นึกว่าจะอายุสั้นขนาดนี้”
สุดคะเนไม่พูด เข้ารั้งร่างที่เปียกน้ำกว่าเดิม
“เปลี่ยนเสื้อนะคะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
“คิดถึงคะเนจังเลย”
พี่ดาวกลับหมุนตัวมาหา ทาบฝ่ามือบนแก้ม มองอย่างโหยหา

หัวใจสุดคะเนแทบขาด วันนี้เธอตื่นหรือหลับฝัน จู่ๆ ผู้หญิงซึ่งเคยมีชีวิตแต่บนหน้ากระดาษก็ปรากฏขึ้น ไม่มีใครอื่น มีแต่ห้วงอารมณ์ที่ผุดพลุ่งเหมือนตาน้ำใต้ดิน
มิอาจห้ามการหลั่งไหล มิสามารถหยุดยั้งด้วยสิ่งใด เด็กสาวครางเสียงแผ่วเมื่อริมฝีปากแสนหวานชิดเข้ามา
หากพราวน้ำตามิเหือดหาย เพียงย้ายจากคนหนึ่งสู่อีกคน พี่ดาวถอนจูบ สุดคะเนก็ถอนสะอื้น

“คะเน...ร้องไห้ทำไม”
“แล้วพี่ดาวละคะ ตะกี้ร้องไห้ทำไม”
“พี่...กลัวจะไม่เจอคะเน กลัวเจอคะเนอยู่กับคนอื่นอีก...กลัวไปหมด”
“ก็เหมือนกัน...คะเนกลัวว่านี่จะเป็นแค่ความฝัน พอขยับตัว พี่ดาวก็จะหายไปอีก”
“คนดีของพี่”

หญิงสาวผมยาวกอดรัดเด็กสาวผมสั้น ต่างเวียนจูบหอม ด้วยเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันในที่ส่วนตัว ไม่มีใครอื่น
เดินช้าๆ เถิดนะนาฬิกา สุดคะเนนึกวอน


เสียงย่ำน้ำเข้าตึกมาอีกครั้ง เค็นคงกลับมาแล้ว

“พี่ดาวอยู่ค้างใช่มั้ยคะคืนนี้” สุดคะเนถามเสียงถามแผ่ว กลั้นใจฟังคำตอบ
“ค่ะ”
เด็กสาวผมถักเปียที่หิ้วถุงผลไม้ขึ้นบันไดมาชะงัก เมื่อเห็นรองเท้าหน้าห้องริมสุดและยินเสียงลอด
“งั้นพี่ดาวอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย ไปค่ะ คะเนหาเสื้อให้”
ถึงหน้าประตูห้องเจ็ด แต่ร่างเล็กยังรีรอที่จะไขเข้าห้อง จนเค็นเดินขึ้นตึกมาพร้อมถุงส้มตำ

“อ้าว กระต่าย ไหนว่ามีเรียนดนตรี”
“ใครมาน่ะพี่เค็น ไม่เคยเห็นรองเท้ามาก่อนเลย”
เค็นทำหน้าเหวอมาก
“โฮ้ย! น้องสาวชั้น จำรองเท้าคนทั้งประเทศได้ด้วยเหรอนี่”
“ไอ้เค็นบ้า!” กระต่ายด่าแต่สายตายังเหลือบแลยังประตูที่ปิดสนิท
“บอกหน่อยสิ ผู้หญิง ผู้ชาย เพื่อนคนไหนของพี่คะเน”
“แฟนเค้ามั้ง” เค็นตีหน้าตาย “สาว สวย งาม...เหมือนเดินออกมาจากวรรณคดีแน่ะ”

กระต่ายหน้าซีดเผือด...นางในวรรณคดี คนที่อยู่ในเรื่องเล่า เรื่องสั้น บทกวี และงานเขียนมากมายของพี่สุดคะเน
...คนนั้นนะหรือ....



ตีพิมพ์ครั้งแรก

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1360 วันที่ 08 กันยายน พ.ศ. 2549

No comments: