30 September 2006

03 อีกฝน

กระต่ายลงไปนั่งยองๆ แตะกลีบกุหลาบเมาะลำเลิงอย่างเอ็นดู

ลำต้นมีหนาม ใบเขียวเข้มปลายเรียว แผ่พุ่มในกระถางแข็งแรง ดูเหมือนพี่สุดคะเนจะเคยบอกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นพืชในตระกูลกระบองเพชร แถมพรรคพวกในสกุลหลักล้วนสีชมพู

‘เจ้านี่รายเดียวสีส้ม’ พี่คะเนเคยพูดยิ้มๆ
‘กลุ่มสีชมพู เค้าเรียกปีรีสเคีย แกรนดิฟลอรา แต่ถ้าดอกสีส้มเรียกปีรีสเคีย คอร์ริวกาตา’

‘เหมือนกุหลาบตรงไหนกัน’
‘ดอกไงคะ ดูดีๆ สิ บางคนถึงเรียกว่ากุหลาบเทียมหรือกุหลาบแก้ว”

กระต่ายไปค้นข้อมูลเพิ่มที่โรงเรียน ได้ความว่า ชื่อกุหลาบแก้ว ตั้งโดย ดร. ปฏิเวธ อารยะศาสตร์ ซึ่งเป็นคนแรกที่นำพันธุ์ไม้นี้เข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส ปี 2502

เมื่อนำความกลับมาบอกพี่สุดคะเน สิ่งที่ได้คือรอยยิ้มชวนให้หัวใจพองโต

‘เก่งจังกระต่าย ขยันหาความรู้แบบนี้ เค็นคงชื่นใจ”

เกี่ยวอะไรกับเค็น...กระต่ายนึกในใจ แต่ไม่พูดเฉยๆ พี่สุดคะเนไม่รู้บ้างหรือยังไง ที่กระต่ายวิ่งทำนั่นทำนี่ตั้งหลายอย่าง...เรื่องของหัวใจหรอก

‘อ้อ แล้วกระต่ายรู้มั้ย เมาะลำเลิงเป็นชื่อเมืองเก่าของมอญ แต่มีอีกคำนึงใช้เรียกเมืองๆ นี้ ใบ้ให้ว่าอยู่ในเพลงของจรัล มโนเพชร’

กระต่ายคิดหัวแทบแตก ใครจะไปรู้เล่า จรัล มโนเพชรร้องตั้งหลายเพลง ไม่ได้เป็นคนเหนือเหมือนพี่สุดคะเนเสียหน่อย

‘เอางี้ กระต่ายไปค้นมาอีกที ตอบถูกจะให้รางวัล’
วันนี้แหละ...กระต่ายยิ้มย่อง ยืดตัวลุกขึ้น มีเหตุผลเคาะเรียกพี่สุดคะเนแล้ว!


ประตูเปิดออก แต่คนที่เดินออกมาเป็นผู้หญิงผมยาวนัยน์ตาโศกเหมือนโลกมืดตลอดเวลาคนนั้น

เจ้าหล่อนขอบตาช้ำจัด ไม่หลับไม่นอนหรือไง กระต่ายคิดในใจ

“พี่ดาว...เดี๋ยวก่อนสิคะ”
พี่สุดคะเนถลันตามมา ยังอยู่ในเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้น มือคว้าแขนผู้หญิงคนนั้น

“อย่าเพิ่งไปสิคะ คุยกันก่อน”
“พี่ต้องกลับแล้วค่ะ”

พี่สุดคะเนทิ้งแขนลงอย่างอ่อนแรง สายตาที่มองแขกมาเยือนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

“พี่คะเนคะ...”
ทั้งสองหันขวับ ทำเหมือนกระต่ายเป็นมดแมลง ทั้งที่ยืนหางเปียชี้โด่เต็มตา
“กระต่ายรู้แล้วว่า...”

“เอาไว้ก่อนค่ะ”พี่สุดคะเนโบกมือ แล้วหันกลับไปหาผู้หญิงบอบบางซีดเซียว พูดด้วยน้ำเสียงต่างกันสิ้นเชิง

“อีกสิบนาทีได้ไหมคะพี่ดาว...นะ...ให้คะเนไปส่ง”


กระต่ายหันหลังกลับเข้าห้อง กระแทกประตูสนั่น
เค็นสะดุ้ง น้ำแกงในทัพพีแทบกระฉอก

“เบาๆ ไม่ได้หรือไงกระต่าย ได้ยินถึงซอยพระครูโน่น”
“อย่ายุ่ง!”

“อ้าว!” เค็นร้อง “โดนไล่มาอีกซี ก็บอกแล้วไปกวนอะไรเค้า มาเตรียมจานดีกว่า วันนี้แกงพุทราเชียวนะ อร่อยมากๆ ขอบอก”

“ไม่เห็นชอบกินเลย” กระต่ายหน้าบึ้ง “อยากกินเคเอฟซีมากกว่า”
“กระต่ายนี่” เค็นเป่าน้ำแกงเบาๆ ก่อนชิม

“แม่ได้ยินเสียใจตายเลย จำไม่ได้เหรอ ปลายฝนต้นหนาว แม่จะต้องแกงพุทราใส่ดอกแคให้กินกันไข้หัวลม ตอนเด็กๆ เธอโปรดจะตาย”
“อย่าพูดถึงแม่ได้มั้ย!”

กระต่ายลงไปนั่งกอดเข่ากลางห้อง เค็นชำเลืองดูน้องสาว ผมที่ยาวถึงกลางหลัง และเจ้าตัวถักเปียไว้เสมอ ตอนนี้เริ่มคลายออกตามเคย

กระต่ายผิวเหมือนแม่ ตาเรียวเหมือนพ่อ แต่ฤทธิ์ที่มากเหลือเกิน...ไม่รู้เหมือนใคร

เค็นละจากโต๊ะปรุงอาหาร ซึ่งมีเพียงกระทะไฟฟ้ากับหม้อหุงข้าวเท่านั้น มานั่งแหมะข้างๆ
“เอางี้ เดี๋ยวให้ตุ๊กตา”

กระต่ายร้องกรี๊ด ผลักอกเค็นเต็มแรง
“อย่าแกล้งเค้านะ!!”

“กิ๊วๆ ก็ไหนว่าลืมอดีต โธ่ กระต่าย...ไปกินข้าวกันดีกว่า แกงพุทรา มีทอดมันหน่อกะลาด้วย”
กระต่ายชักผิดหู

“เค็นไปเอามาจากไหน อย่าบอกนะว่า...”
“ฮื่อ” เค็นพยักหน้า “แม่แวะมา เธอขี้เซาแค่ไหนนึกดู แม่มาทั้งคนไม่รู้เรื่อง ใจคอห่วงแต่คนห้องแปด ตื่นมาก็รีบดิ๊กๆ ไปหา”

“เอ๊ะ! เค็นนี่ เค้าไม่ใช่หมานะ…แล้วแม่มายังไง มาทำอะไร”
“ไม่รู้ อยากทราบไปถามเอาเอง แม่นะ เห็นเธอหลับอุตุยังไม่ยอมให้ปลุกเลย เข้าห้องนิดเดียวก็ไม่เอา กลัวเสียงดัง กลัวนังปีศาจน้อยมันจะตื่น กลัวมันลุกขึ้นมาโวยวายไล่แม่ออกจากห้อง”

พูดไปๆ เสียงเค็นก็ชักสั่น กระต่ายเองใจหายวูบกับถ้อยคำเหล่านั้น ตาที่ชี้เฉียงหาขมับมีน้ำคลอปริ่ม รีบเบือนหน้าพูดเสียงแข็ง

“พอแล้วไม่ต้องพรรณนา...กินก็ได้! แต่บอกก่อนนะไม่ชอบ เห็นว่าอุตส่าห์ทำหรอก”

เค็นยิ้มออก (แต่ซ่อนไว้) ลุกเข้าครัวที่อาจจะเล็กที่สุดในโลก ตักแกงใส่ถ้วย ตักข้าวใส่จาน เตรียมสำรับให้น้องบังเกิดเกล้า


สุดคะเนขบริมฝีปากแน่นเมื่อเดินถึงป้ายรถเมล์ การะเวกเห็นแต่ใบ คราบฝุ่นฉาบหนาจนมีสีคล้ำจัด รถสาย 203 จอดรับส่งผู้โดยสาร แท็กซี่ยังไม่มา

“อย่าทานกาแฟมากนะคะ ทานข้าวด้วย”
พี่ดาวบอกเบาๆ สุดคะเนเจ็บในหัวใจเหมือนหนามแหลมทิ่มแทง

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คะเนไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ค่ะ พี่รู้”

แล้วก็เงียบกันไป แท็กซี่คันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามา เด็กสาวผมสั้นยืนทื่อ แต่คนผมยาวก็ยังยืนนิ่ง จนรถที่ไร้ผู้โดยสารผ่านไป

อีกคันและอีกคัน

“ทำไมไม่เรียกละคะ” สุดคะเนหันมาถาม
“จนกว่าคะเนจะเข้าใจพี่”

สุดคะเนนิ่งไปหลายวินาที
“คะเนเข้าใจเสมอ พี่ดาวต่างหากที่...”

“พี่รู้ พี่เอาเปรียบคะเนมาโดยตลอด”
เสียงที่แผ่วเบาเหมือนมีดอีกเล่มกรีดซ้ำแผลเดิม
“แต่พี่มีความจำเป็น เราก็คุยกันแล้วตั้งหลายครั้ง”

“คะเนก็แค่...อยากให้พี่ดาวอยู่นานกว่านี้อีกนิด”
“พี่หรือจะไม่อยากอยู่” ฝุ่นหรือเปล่า ที่เคลือบคลุมถึงดวงตาสวยโศก “แต่พี่ทำได้แค่นี้ ไม่แน่ด้วยว่าต่อไป จะมาหาคะเนได้อีกกี่ครั้ง...”

“ทำไมละคะ ก็ไหนพี่ดาวบอกว่า ถ้าคะเนไม่มีคนอื่นอีก...พี่จะมาหาเท่าที่ทำได้ จะพยายาม...หาทางอยู่ด้วยกัน”
“พี่ต้องรักษาตัว”

ตาแสนงามมองเข้ามาในตากลมดำ อากาศกำลังเปลี่ยนหรือเปล่า สุดคะเนรู้สึกถึงความเย็นยะเยียบที่ค่อยๆ เลื้อยไล่จากปลายเท้าสู่ศีรษะ หากหยุดชะงักแค่หัวใจ

เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวแล้ว

“...พี่กำลังจะมีน้องอีกคน”

แท็กซี่จอดลงจนได้ พี่ดาวก้มตัวลอดเข้าไป สุดคะเนฝืนยิ้มเมื่อร่างบางหันมาโบกมือก่อนเอนหลังพิงเบาะ แล้วรถก็เคลื่อนไป

เมฆแตกออกเหมือนถูกลมเป่าคว้าง หรือสุดคะเนต่างหากที่เคว้งคว้างยิ่งกว่าสิ่งใด จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนครั่น แม่ค้าหน้าตลาดกุลีกุจอเก็บข้าวของ บ้างกางร่ม บ้างคลุมพลาสติก การะเวกดอกหนึ่งปลิดก้านตามลมกรรโชกแรง

สุดคะเนยื่นมือคว้า ได้แต่ความว่างเปล่าอย่างนึกไว้ ฝนตกแล้ว เม็ดโตๆ กระแทกทุกอย่างไม่ปราณีปราศรัย ผู้คนวิ่งหลบชุลมุน แต่เด็กสาวยังยืนนิ่ง ไม่รู้จะรีบไปไหน

ไม่รู้จะรีบไปทำไม.


ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1356 วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2549

2 comments:

Anonymous said...

ชอบกระต่าย
กระต่ายเหมือนใครบางคนแถวๆนี้นะเนี่ย...ที่หวังเพียงแค่รอยยิ้มจาคนๆนึงที่ทำให้หัวใจพองงงงงโต!!

555555555

Anonymous said...

ตามมาเยี่ยมจ้ะพี่เกต์ บล็อกสีหวานมั่กๆ - เดียร์