12 December 2006

08 ในอุ้งมือ

สุดคะเนลงรถหน้าวิทยาลัย
รั้วสีแดงเหยียดยาวขนาบถนน
บนฟุตปาธมีร้านขายของเป็นรถเข็นคันเล็กคันน้อย
ลูกชิ้นปิ้งกับน้ำอัดลมดูจะขายดีเป็นพิเศษ
เด็กหนุ่มสาวในชุดนักเรียนนักศึกษาเดินสวนไปมา

เด็กสาวเสยผมตัวเองอย่างเก้กัง
ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี มีสถาบันการศึกษาสองแห่งบนถนนสายนี้
ดูเหมือนจะมีประตูเชื่อมต่อกันด้วย แต่เค็นกับกระต่ายเรียนตึกไหนกันล่ะ?

เค็นเคยบอกว่าเรียนอยู่ปี 1 เอ๊ะ? หรือปีสอง
ส่วนกระต่ายอยู่ชั้นมัธยม ม.อะไรล่ะ? เป็นโรงเรียนสาธิตใช่ไหม?

สุดคะเนเพิ่งนึกได้ว่า เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเพื่อนข้างห้อง
มากไปกว่าทักทายกันผ่านๆ
มีแต่ช่วงหลังนี้เองที่กระต่ายเข้ามาผูกสัมพันธ์มากขึ้น



อดนึกถึงจดหมายอีกฉบับของ The Moon ไม่ได้


[พฤศจิกายน / นนทบุรี / วันที่ดวงตะวันยิ้มอุ่นๆ ให้ลมหนาว

ฉันเพิ่งแบกเป้อันหนักอึ้งกลับมาจากจังหวัดปราจีนบุรี
หนีความเป็นพิษของเมืองไปได้สิบวันเต็มๆ ไปอยู่กับทุ่งนาป่าเขา
อยู่กับเด็กมอมๆ ในหมู่บ้าน

ที่โน่นพูดภาษาอีสานด้วยนะจ๊ะคะเน ทั้งๆ ที่อยู่ภาคตะวันออก
ข้าวกำลังตั้งท้องพอดี ดีใจที่ได้เห็นทุ่งสีเขียว
บางบ้านมีอาชีพเสริมคือทำหมวก ทำขนมจีน ทำปอ
ไปช่วยเขาลอกปอมาด้วย รู้สึกเหมือนกลิ่นปอยังไม่จางไปจากตัวเลยนะนี่

ไม่อยากกลับมาเลย ถ้าไม่นึกถึงหน้าที่ (หน้าที่อีกแล้ว คำนี้มีอิทธิพลนักละ)
ใช้วันลากิจไปหมดเกลี้ยงเลย นั่งรถไฟกลับมา
แค่มองเห็นปั้นจั่นและเครนบนยอดโครงตึกสูงระฟ้า ฉันก็แทบจะหันหลังกลับ

ลากสังขารอันอ่อนระโหยกลับมาถึงบ้าน ก็ได้พบจดหมายของเธอรออยู่...

เป้ถูกเหวี่ยงกลิ้งไปไหนไม่รู้แล้ว
(มันคงน้อยใจเหมือนกัน อุตส่าห์เป็นเพื่อนมาตั้งนาน)
เพราะฉันมัวแต่ตื่นเต้น จดหมายตอบจากเธอ
ทำให้ฉันรู้สึกดีใจเป็นครั้งแรกของการตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ

ตอนนี้ยังยิ้มไม่หุบเลยรู้ไหม...
ขอบคุณมาก ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าที่นี่ยังมีน้ำใจและความอบอุ่นอ่อนโยนแฝงอยู่
ไม่ได้ถูกกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชนหน้าตาเฉยเมยที่เดินสวนกันไปมาบนท้องถนน

ทำไมเขาไม่ค่อยยิ้มกันนะ ของที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อแท้ๆ...
ตอนนี้คะเนกำลังยิ้มอยู่หรือเปล่านะนี่
ลืมความเศร้าที่มีมากมายนั้นบ้างเถอะนะ
ชั่วครู่ก็ยังดี ให้รอยยิ้มได้ทำหน้าที่ของมันบ้าง



...เราต้องยิ้มบ้างสักนิด

หัวเราะบ้างสักหน่อย

ร้องไห้บ้างสักเล็กน้อย

เพื่อความแช่มช้อยของชีวิต...]



สุดคะเนเผลอยิ้มนิดๆ The Moon
เป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งจริงๆ ไม่กี่บรรทัดก็ทำให้คิดต่อไปได้มากมาย
ทั้งเรื่องสุข เรื่องเศร้า ความงาม ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต
หรือการตั้งข้อสังเกตกับผู้คนรอบตัว

จริงสินะ เมื่อเดินสวนใครๆ บนถนน
การที่จะยิ้มให้คนแปลกหน้าคงเป็นเรื่องบ้าสิ้นดี
แม้แต่คนใกล้ห้องติดกัน ยังแทบไม่รู้จักกัน



แต่นั่นเค็นนี่? สุดคะเนเหลือบตาเห็นเด็กหนุ่มผิวขาว
เดินคู่เด็กหนุ่มตัวสูงอีกคน แต่เหมือนเค็นไม่อาจเห็นใครเลย นอกจากเพื่อนคนนั้น


"พี่คะเน!"

เด็กกระต่ายโผล่มาด้วยใบหน้าร่าเริง ยิ้มกว้างแทบฉีกถึงหู ตามีประกายวิบวับ

"พี่คะเนมาทำอะไรแถวนี้...โอ้ย! ดีใจจัง!!"
เด็กผมเปียกระโดดเข้ากอดแขน เอียงแก้มแนบไหล่จนสุดคะเนหน้าแดง

"มารับกระต่ายเหรอ"

"เอ้อ...ไม่ใช่" รีบปฏิเสธเมื่อเห็นสายตาคาดหวัง
"พี่ผ่านมาแถวนี้...เอ่อ พี่ต่อรถผิดน่ะ"

กระต่ายไม่สนใจ ควงแขนอย่างสนิทสนม
ทั้งใบหน้า แววตา น้ำเสียง บอกความรื่นรมย์สุดชีวิต

"ดีใจจัง ขอบคุณความผิดพลาดในชีวิต
...แล้วพี่คะเนจะไปไหนต่อคะ ไปกินไอติมกันมั้ย"

"ตะกี้พี่เห็นเค็นนะคะ"
สุดคะเนนึกได้ เหลียวหาพี่ชายของเด็กที่พัวพันข้างตัว

"ช่างเค็นปะไร" กระต่ายย่นจมูก
"กำลังเห่อเพื่อนใหม่ เห็นว่าหล่อนักนี่ แต่กระต่ายยังไม่เห็น เห็นก็ดีสิ จะได้เอาคืนมั่ง"

"คืออะไร? เอาอะไรคืน"

"ไม่รู้" กระต่ายตัดบทดื้อๆ
"อย่าสนใจเค็นเลย เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า พี่คะเนคนดีขา ร้านข้าวอร่อยๆ ก็มีนะคะ"

"พี่วางตะกร้าไว้ให้หน้าห้อง ได้แล้วใช่ไหมคะ"

กระต่ายมีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหน่อย พูดแบบไม่เต็มใจ
"ค่ะ ขอบคุณมาก...พี่คะเน...ไปหาอะไรกินกันดีกว่า กระต่ายหิวแล้ว"

สุดคะเนถอนใจ ขณะถูกฉุดมือเดินห่างจากที่เดิม
มีหลายอย่างที่นึกจะพูด จะถาม แต่ก็ไม่รู้ควรเริ่มตรงไหนดี
อีกไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไร ทำให้ตัดสินใจลงรถ...ที่นี่



[วันนี้โรงเรียนเปิดเทอม
(อิจฉาเด็กอีกแล้ว มีปิดเทอม เปิดเทอมให้ได้ตื่นเต้น)
เสียงแม่บอกว่าต้องรีบไปทำงานแต่มืดเพราะรถต้องติดแน่ๆ
เฮ้อ...คราวนี้ถอนใจเพราะสงสารเด็กเมืองกรุง

สมัยก่อนที่อยู่ต่างจังหวัด
เราเดินไปโรงเรียนกันกลางแดดอุ่นๆ แวะดูดอกไม้
จับตั๊กแตนข้างทาง ไปถึงก็ยังเช้าอยู่มาก
มีเวลาให้เล่นหมากเก็บ กระโดดยางตั้งหลายตา กว่าระฆังจะดังให้เข้าแถว

เดี๋ยวนี้ฉันเห็นเด็กแบกกระเป๋ายืนเกาะโงนเงนบนรถประจำทาง
ที่มีฐานะหน่อยก็นั่งกินข้าวเช้าในรถยนต์ที่ค่อยๆ เคลื่อนทีละคืบ
บางคนนั่งหลับในรถโรงเรียนเพราะต้องตื่นเช้าเกินไป อากาศยามเช้ามีแต่ควันพิษ

เชื่อไหมว่าบางครั้งฉันอยากหยุดหายใจ
เมื่อคิดว่า อากาศสีเทาๆ นั่นหรือที่ผ่านเข้าออกในร่างกายของเรา...]



"ไปรถเมล์หรือจะนั่งแท็กซี่ดีน้า..."

เด็กกระต่ายรื่นเริง สุดคะเนขมวดคิ้ว

รถเมล์แล่นผ่านหน้า คนแออัดเบียดเสียด

"ทำไม? ร้านอยู่ไกลนักหรือ ถ้าไม่มากเดินไปก็ได้นะ"

"กระต่ายกลัวพี่คะเนเหนื่อย...ไปแท็กซี่ก็ได้นะ กระต่ายจ่ายเอง"

สุดคะเนหยุดเดิน มองหน้าเด็กผมเปียอย่างจริงจัง

"กระต่าย ไม่ต้องห่วงพี่..."
ในใจนึกถึงใบหน้าคล้ำหมองของหญิงวัยกลางคนที่หอบของมาฝากลูก
"กระต่ายเองก็ยังต้องใช้เงินพ่อแม่ อย่าฟุ่มเฟือยกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง"

"โห แค่นี้เองต้องดุด้วย"
เด็กน้อยหน้าหมอง แต่แป๊บเดียวก็ยิ้มกว้างเหมือนเคย
"พี่คะเนเท่ที่สุดเลย กระต่ายชอบม้ากมาก คนแบบนี้แหละที่กระต่าย...ชอบ"

สุดคะเนส่ายหน้า สบตาใสแจ๋วก็ใจอ่อนอีกทุกที
ไม่สนใจคำตามท้ายที่แผ่วเบา ปากพูดไปว่า

"งั้นไม่ต้องกินอะไรข้างนอกหรอก กลับไปกินข้าวบ้านดีกว่า
เผื่อมีการบ้านอะไรจะได้รีบทำไม่เสียเวลา"


"เย้!" กระต่ายร้องลั่น "วันนี้เป็นวันของเรา...ดีใจจัง"



[คะเนอยู่บ้านคนเดียวสินะ...
เหงาไหม สมัยเรียนหนังสือฉันก็อยู่หอพักคนเดียวมาตลอด
เข้ากรุงใหม่ๆ ต้องอยู่กับญาติ แต่อาศัยเขาอยู่ก็มีเรื่องร้อนหูมาให้คับใจหลายอย่าง

ตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียวไม่รบกวนเขา ก็ยังไม่วายถูกกระทบกระแทก...
ฉันต้องหางานพิเศษทำเพื่อจ่ายค่าหอพักนะ
เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินพอสำหรับส่วนนี้หรอก บางวันฉันไม่มีเงินสักบาท
นั่งชะเง้อคอยธนาณัติ ร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง เพราะรู้ว่าเงินในครอบครัวหายไปไหนหมด

แต่ป่วยการที่จะกล่าวโทษพ่อแม่
ความต้องการในชีวิตของแต่ละคนต่างกัน
มันเป็นเรื่องนานมาแล้ว เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
และฉันก็คงเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่มานั่งฟูมฟายโกรธแค้นการกระทำของเขา
เหมือนสมัยยังเด็ก

นอกจากพยายามทำความเข้าใจ...]



"เอ้อ...เห็นแม่ของกระต่ายบอกว่า ชอบกินกะละแมเหรอ"
สุดคะเนถามขึ้นเรียบๆ แต่กระต่ายหน้าบึ้งทันที

"แม่เล่าอะไรให้พี่คะเนฟังอีกล่ะ!"

"เปล่านี่" สุดคะเนแปลกใจกับปฏิกิริยานั้นมาก
"ทำไม? ดูเหมือนกระต่ายจะ...เอ้อ...ไม่ค่อยพูดถึงแม่นะ"

"กระต่ายไม่อยากคุยเรื่องนี้"
เด็กผมเปียแข็งขืนกว่าที่เคยเป็น
แต่สุดคะเนเริ่มมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง เหมือนผนังที่แตกร้าว
และมีร่องรอยการแตกกะเทาะจากภายใน

"ก็ได้..." เด็กสาวจึงทอดเสียงนุ่มนวลลง
"วันไหนกระต่ายอยากเล่าให้พี่ฟังก็ยินดีนะ"

กระต่ายตัวแข็งเหมือนคิดไม่ถึง ทั้งๆ ที่ก็เป็นแค่คำพูดธรรมดา
มือที่กอดแขนสุดคะเนสั่นจนรู้สึกได้ เด็กสาวผมสั้นจึงเลื่อนมือไปจับมือเล็กเอาไว้

ระหว่างเดินจูงมือไปตามฟุตบาธที่มีแต่เสียงเครื่องยนต์คำราม
อีกไม่กี่ก้าวจะถึงป้ายรถเมล์ ต่างคนต่างเงียบงันกับความคิดคำนึงส่วนตัว

แต่ขณะที่กระต่ายเอาหัวใจทั้งหมดจดจ่อกับความอุ่นจากอุ้งมือรุ่นพี่
สุดคะเนคิดถึงจดหมายจากพระจันทร์



[ดีใจที่คะเนเล่าถึงห้องเช่าเล็กๆ...
ฉันพอจะนึกภาพออก อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก
แต่ก็คงเป็นโลกใบเล็กๆ ที่อบอุ่นน่าดู รู้จักนกเล็กๆ
ที่ร้องเพลงให้ฟังทุกตัวหรือเปล่า

เพลงอะไรเอ่ย...ที่ร้องว่า...
ตื่นเสียที ตื่นซะที้...
ใช่ไหมจ๊ะ เพราะแถวๆ บ้านของฉัน นกร้องเพลงคล้ายๆ แบบนี้แหละ
บางทีก็คุยกันเสียงจ๊อกแจ๊ก
กินอะไรดี๊...
กินนั่นสิจ๊ะ...
กินนี่สิจ๊ะ...
ชวนให้อยากเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยเสียจริง

อ้อ...บ้านที่ฉันเล่าว่าเลี้ยงนก ตอนนี้เขาไม่เลี้ยงแล้วนะ
แต่อย่าดีใจไป เพราะเขาหันมาเลี้ยงชะนีแทนจ้ะ
ร้องโหยหวนทุกเช้าจนฉันว่าจะไปแจ้งกองรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดูซะที...

คะเนว่าดีมั้ย...]




ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1373 วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2549

No comments: