14 January 2007

11 จากพระจันทร์

[พฤศจิกายน...สวัสดีจ้ะสุดคะเน
ฉันเขียนจดหมายฉบับที่สามถึงเธอ
ทั้งๆ ที่ฉบับที่สองยังไม่ได้รับตอบ
รู้ไหมว่า ฉันคอยเธออย่างกระวนกระวาย
เพราะฉันมีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกให้เธอฟัง
ขณะเดียวกันก็เกรงอยู่ว่า
จะรบกวนเวลาของเธอมากไหมนะ ทั้งการอ่านและการตอบ
เพราะบางครั้ง...คนเราก็ไม่มีเวลาเหลือเฟือ
พอที่จะมานั่งฟังเรื่องราวไร้สาระของใคร
แต่ว่า...ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าเธอรับฟังได้
เป็นความรู้สึก ไม่ใช่ความคาดหวังหรอกนะจ๊ะ
ฉันรู้สึกว่า โลกใบเก่าของฉันเริ่มหมุนอีกครั้ง
เมื่อได้รับจดหมายตอบจากเธอ
ความฝันของฉันกำลังเดินทาง
รู้ไหม มิตรภาพเป็นความอบอุ่นยิ่งกว่าไฟกองใดในฤดูหนาว
จริงสิ...เธอคงรู้ดี]

ลมพัดใบไม้ปลิวลงจากต้น
เฉียดไหล่สุดคะเน ก่อนซบนิ่งบนพื้นหญ้าสีเขียว
ผิวน้ำมีระลอกคลื่นเบาๆ เมื่อสุดคะเนปรายตามอง
แพลอยนิ่งเหนือน้ำ รองรับผู้คนบางตากว่าเคยเป็น
อาจเพราะไม่ใช่วันสุดสัปดาห์
กระต่ายส่งยิ้มโบกมือไหวๆ จากร้านขายขนมเจ้าหนึ่ง...
ขนมกล้วย ห่อด้วยใบตองโดนไอร้อนจนเป็นสีน้ำตาล...
อาจเป็นคุณยายเจ้าเดิมที่น้ำตาลเคยซื้อด้วย
น้ำตาล...เหมือนมีเข็มเล็กๆ แทงแปลบหนึ่ง
เสี้ยววินาทีที่ระลึกถึงคนจากไป

กระต่ายกระโดดขึ้นมาแล้ว
“พี่คะเนขา...ดูสิ มีขนมน่ากินจังเลย
เพิ่งเคยมานะเนี่ย ตลาดน้ำตลิ่งชัน ดีใจจังที่โดดเรียนมา”
เด็กผมเปียนั่งแหมะลงข้างๆ รถไฟแล่นมาบนเนิน
เสียงเบียดรางเหล็กจนต้องหยุดพูดไปชั่วขณะ
ตาเฉียงของเด็กน้อย วันนี้มีประกายกว่าทุกวัน

“ทานไหมคะ กระต่ายป้อนให้”
อย่างเอาใจ กระต่ายรีบแกะห่อขนม
นิ้วเลอะก็เอาเข้าปากดูดเหมือนเด็กๆ สุดคะเนหัวเราะ

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่กินเอง”

“ไม่เอา กระต่ายจะป้อน”
เสียงกระเง้ากระงอดจนสุดคะเนนึกขำ

“ไม่เป็นไร” ว่าพลางเอนตัวหนี
เด็กกระต่ายแกล้งรั้ง จู่ๆ ก็เซเองเกือบทับตัวรุ่นพี่

“อุ้ย!” กระต่ายหน้าแดงจัด รีบผละหนี
แปลกจัง...กระต่ายรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
จากจุดที่โดนเนื้อตัวพี่สุดคะเน เหมือนไฟฟ้าช็อต
แล้วแผ่กระแสอุ่นซ่าน หวั่นไหว...อีกแล้ว

สุดคะเนมองอย่างงงๆ
“คะ?” มือยื่นไปหาเด็กผมเปีย

กระต่ายถลาลุกพรวดพราด
“เอ้อ...กระต่ายไปห้องน้ำก่อนค่ะ!”

สุดคะเนเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่พูดอะไร
กระต่ายวิ่งตื๋อไปยังร้านกาแฟที่อยู่อีกด้านทันที



[เมื่อวานนี้ ฉันนั่งรถเมล์ผ่านถนนจรัญสนิทวงศ์
นานครั้งหรอกที่จะกลับเส้นทางนั้น
ถ้าไม่เป็นเพราะฉันไปเตร็ดเตร่แถวท่าพระจันทร์
ไปดูหนังสือ ดูผู้คน ดูเรือข้ามฟาก ให้สตางค์ขอทานแก่ๆ 2 – 3 คน
แล้วก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน เพราะเรือเที่ยวสุดท้ายหมดไปนานแล้ว

ฉันมองหาซอยบ้านของสุดคะเน
ค่ำมากแล้วละตอนนั้น ถนนบางช่วงมืดและเงียบ
บ้านเธออยู่ลึกไหมจ๊ะ ทางเข้ามืดหรือเปล่า อย่ากลับดึกมากนะ
มีใครเดินเป็นเพื่อนหรือเปล่า อย่าโกรธนะที่ถามซอกแซก
เพียงแต่ฉันเป็นห่วง ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ

ถึงนนทบุรี ฉันยังต่อรถอีกสองทอดกว่าจะถึงบ้าน
ยายแก่ๆ คนหนึ่งนั่งกองเหมือนผ้าเก่าๆ ริมทางเท้า
มีกระจาดใส่พวงมาลัยที่ไม่ค่อยเข้ารูปเข้าทรง ดอกมะลิคงจะแพงนะ
ถามแกว่าขายยังไง เสียงแกเบาจนต้องเอาหูไปใกล้ๆ
พวงละสิบบาท อื้อหือ...อยากจะเปลี่ยนใจ
แต่ก็คิดไว้ก่อนแล้วนี่นะ ว่าจะช่วยอุดหนุนคุณยาย
อีกอย่าง มะลิก็เป็นดอกไม้ที่ฉันรักมาก
เฮ้อ...ถ้าโลกนี้ไม่มีระบบเงินตราคงจะดีนะ...]

“แย่จัง...” กระต่ายสูดลมหายใจลึกๆ
เมื่อเดินออกห้องน้ำมา เจ้าของร้านส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรี
เขากำลังชงกาแฟให้ลูกค้าที่มีเพียงสองโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว
กระต่ายรู้สึกคุ้นหน้าชายคนหนึ่งที่นั่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
อาจเพราะผมสีส้มนิดๆ ที่สะดุดตา

“ทำไมนานจังคะ”
สุดคะเนเดินเข้าร้านมา วันนี้เด็กสาวสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงสีเดียวกัน

เจ้าของร้านเห็นเข้าก็เอ่ยปากทัก
“ไม่เห็นหน้าตั้งนาน”

“หวัดดีค่ะเฮีย” สุดคะเนพูด
ชายผมสีส้มเหลียวมอง แล้วต่างคนก็เงียบไปพักหนึ่ง

“หวัดดีค่ะ คุณแดน” สุดคะเนยกมือไหว้

กระต่ายจึงเพิ่งนึกออก...
เขาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงและกำลังออกอัลบั้มเพลงใหม่อีกด้วย
ล่าสุด เพิ่งเป็นแขกรับเชิญในงานโรงเรียน
แดนไม่รับไหว้ บอกกับคนร่วมโต๊ะเบาๆ ว่า “ผมขอตัวแป้บนะฮะ”

สุดคะเนเงียบกริบ เมื่อแดนเดินลงมายังท่าน้ำ
ที่ๆ นานมาแล้วเธอเคยห้อยขาริมฝั่ง มองดูเรือพายขายของ
และมีชายคนเดียวกันนี้ เดินตามลงมาอย่างวันนี้

“ทำไมจู่ๆ ถึงหายตัวไป”
เสียงถามเหมือนพ้อ แต่สุดคะเนรู้ดีว่า โทนเสียงเขาเป็นอย่างนั้นเอง

“ไม่ได้หายไปไหนนี่คะ ก็ยังทำงานที่เดิม”
นิ่งไปนิดหนึ่ง จึงพูดต่อ
“คุณต่างหากที่หยุดเขียนไป”

“ช่วงหลังผมออกต่างจังหวัดบ่อย...สบายดีมั้ย”
คำทอดตามหลังนุ่มนวล สุดคะเนยิ้มนิดๆ

“ค่ะ ก็สบายดี”

บนฝั่ง กระต่ายยืนชะเง้อมองอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย
เหลือบมองผู้หญิงที่มากับนักเขียนชื่อดังก็เห็นมีสีหน้าตึงๆ
ทำไมต้องลงไปคุยกันอย่างนั้นด้วย!

“เดี๋ยวมานะคะ” แค่นั้นเอง คำบอกจากพี่สุดคะเน

ริมน้ำ สุดคะเนทอดตาดูผักตบชวาลอยไหลไปติดค้างกองสวะ
ฝั่งโน้นยังมีคนทำธุระต่างๆ มีทั้งเอาข้าวของมาล้าง ซักผ้า
อาบน้ำให้เด็กบนชานพักบันได ฯลฯ
เหมือนภาพที่เคยเห็นเมื่อนานมา

“...คิดถึงน้ำตาลหรือเปล่า” แดนถามขึ้น

นิ่ง เงียบ แสนนาน กว่าคำพูดเรียบๆ จะหลุดจากปากเด็กสาว

“ไม่”

แดนชะงัก มองดูตาดำสนิทอย่างค้นคว้า
“ไม่เลยหรือ คะเนใจร้ายกว่าที่คิดนะ”

สุดคะเนยิ้มมุมปาก
“คงงั้นมังคะ…น้ำตาลเลือกที่จะไปเอง ทำไมฉันต้องคิดถึงด้วยล่ะ”

“กับผมล่ะ...คะเนก็เป็นคนไป แต่ผมยังคิดถึงคุณ”

“ขอบคุณ” สุดคะเนหันกลับมาเผชิญหน้าตรงๆ
“ถามอะไรอย่างได้มั้ย”

“ได้สิ”

“เดินมาคุยกับฉันแบบนี้
ไม่คิดว่าคนที่มากับคุณจะ...เอ้อ...คิดมากหรือ?”

“ไม่” แดนตอบทันควัน “ทุกคนที่คบกับผมรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ได้มีเค้าคนเดียว...
เราเหมือนกันไม่ใช่หรือคะเน ทำไมต้องเลือกไปก่อนถึงเวลาด้วย?”

“ฉันเบื่อคุณ”
แดนมีสีหน้าประหลาดใจจนเก็บไม่อยู่
ชายหนุ่มยกมือเสยผม เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น

“เราไม่ได้รักกัน” สุดคะเนพูดช้าๆ “ไม่เคยรักกัน...”

“...หมายความว่าไง? คุณเองก็พูดตลอดว่าไม่ชอบความรัก
คุณอยากได้ความรักจากผมงั้นหรือ”

“เปล่า” สุดคะเนจ้องตาคนเคยสัมพันธ์ด้วยหัวใจเยียบเย็น
“ฉันไม่อยากได้อะไรจากคุณทั้งนั้น
แต่ในเมื่อระหว่างเราจะไม่มีทั้งอดีต ไม่มีอนาคต จบวันไหนก็เหมือนกัน”

“จริงๆ แล้วคุณชอบเอาผู้หญิงใช่มั้ย?”
แดนถามเสียงดังจนน่าตกใจ แต่สุดคะเนยังยิ้มเหมือนเดิม

“ค่ะ คุณเข้าใจถูกแล้ว”

“พี่คะเนคะ...มีอะไรกันหรือคะ”
เด็กกระต่ายถามมาตลอดทางเดินจากร้านกาแฟกลับที่เดิม
รถไฟแล่นมาอีกขบวนหนึ่ง แต่เด็กผมเปียยังไม่หยุดเซ้าซี้ถาม

“...แล้วน้ำตาลคือใครกันคะ...คุณแดนละคะ
เค้าเป็นคนคุ้นเคยของพี่คะเนหรือคะ”

“หยุดถามเสียทีกระต่าย!” สุดคะเนตวาด
กระต่ายตัวแข็งตกใจ ได้สติสุดคะเนก็ถอนใจยาว
“เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง”

“จริงๆ นะคะ” กระต่ายเสียงอ่อนลง
ใจกล้าเอื้อมมือไปเกาะแขนคนอายุมากกว่า
“กระต่ายอยากฟัง อยากรู้เรื่องทุกๆ อย่างของพี่คะเน”

“อยากรู้ไปทำไม” สุดคะเนพูดห้วนๆ
“พี่ยังไม่เห็นอยากรู้เรื่องกระต่ายเลย”
กระต่ายหยุดกึก จู่ๆ น้ำตาก็คลอขึ้นเฉยๆ

“...แต่...พี่คะเนเคยบอกกระต่ายว่า
ถ้าอยากเล่าเรื่องแม่ เรื่องพ่อ พี่คะเนจะฟังไม่ใช่หรือคะ…”

สุดคะเนหยุดบ้าง ใจหายวูบเมื่อเห็นแววตาท้วงถามเหมือนเด็กฝังใจ
นับหนึ่งถึงสิบ กลั้นใจพูดเบาๆ

“...ขอโทษทีกระต่าย พี่พูดไม่ทันคิด...
ถ้ามีอะไรอยากเล่าให้ฟัง พี่ยินดีฟังจริงๆ นะคะ”

กระต่ายสูดน้ำมูก กอดแขนคนเสื้อดำแน่นเข้า
“งั้นกลับบ้านคืนนี้...กระต่ายจะเล่าให้ฟังนะคะ”

สุดคะเนลอบถอนใจ เบือนมองทางที่จากมา
แดนยังอยู่ที่เดิมกับผู้หญิง...คงเป็นเพื่อนใหม่
มีแววตาที่อ่านไม่ออกมองมาสบกัน



[...ขีดเส้นคั่น เพราะอยากเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน...
สุดคะเนจ๊ะ รู้หรือเปล่า
วันที่ฉันโทรศัพท์ถึงเธอน่ะ ฉันยิ้มไม่หุบไปทั้งวันเชียวแหละ
เป็นความสบายใจยังไงไม่รู้สิ เหมือนได้พบเพื่อนเก่าที่จากกันมานานแสนนาน
อยากคุยอะไรมากมาย แต่ความคิดก็ยังเร็วกว่าปากเสียอีก ปานนั้นเชียว!!

รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่สุดในรอบปีที่ยกหูโทรศัพท์ถึงคะเน
เธอล่ะ เห็นว่าฉันคิดถูกหรือเปล่า
มีเพื่อนๆ ในที่ทำงานแซวด้วยนะว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ได้คุยกับหวานใจละสิ
นานๆ ที มีคนอิจฉาจนตาร้อนผ่าวบ้างก็ดีเหมือนกันนะ


...จากพระจันทร์]



ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1376 วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2549

No comments: