23 January 2007

12 อีกที

กลับถึงห้องกันเมื่อเย็นมากแล้ว
สุดคะเนพบจดหมายอีกสองฉบับจากพี่ดาว
แต่ไม่มีใจอยากอ่าน เพียงวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ

รูปของน้ำตาล...ใบหน้าชาเฉยที่มองมาเหมือนถามว่า
“ไม่คิดถึงกันจริงหรือ” ยังวางบนชั้นหนังสือ
รูปสุดท้ายจากในครัวเล็กๆ วันที่มีบางสิ่งบางอย่างไปต่อ...กว่าตั้งใจ

[“ฉันอยู่ตรงนี้นะน้ำตาล เป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่เธอจะต้องการ”

“เพราะอะไร…”

“เพราะเราไม่ได้รักกันไง
เราจะไม่มีความคาดหวังต่อกัน...ไม่ใช่หรือ
ความสัมพันธ์ของเราก็จะดีไปตลอด
หรือถ้าเธอไปมีแฟน มีคนอื่น ฉันก็ไม่มีปัญหา”

“แล้วถ้าฉันมีล่ะ บอกตามตรงนะคะเน ฉันหวงเธอ”

“ก็อย่าหวงสิ ฉันสนุกกับการเจอคนอื่น
แต่อย่าลืมว่าฉันนอนกับเธอ”

…………………
“ทำไม...ฉันต้องอยากมีอะไรกับเธอด้วยนะ”

“ก็เป็นธรรมชาตินี่นา ...ดีกันนะ วันนี้ถึงตาฉันบ้าง จะทำโทษเธอ”

“...ฉันคงต้องจำซีโมนไปชั่วชีวิต”
………………………

“ผมไม่ชอบความเศร้า...ก็ไม่เชิงนะ
บางทีก็จำเป็นต่อการทำงานเขียนและการทำงานศิลปะ
แต่ลึกๆ ผมคิดว่าความเศร้ามีหลายแบบ”

“แบบไหนบ้างหรือคะ”

“มีความเศร้าจริงๆ กับความเศร้าปลอมๆ
...เอ เด็กแบบคะเนจะเข้าใจมั้ย

มีความเศร้าที่เป็นจริง ที่เราไม่ต้องการ แต่จัดการกับมันยากมาก
กับความเศร้าที่อยู่ผิวๆ ของอารมณ์
เรารู้ว่ามันไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิตเราจริง
เป็นแค่ความวูบๆ ไหวๆ ผมชอบอย่างหลังมากกว่า”

“เราเลือกได้ด้วยเหรอ ว่าจะอยู่กับความเศร้าแบบไหน”

“ได้สิ ถ้าคุณเก่งพอ…ผมก็เศร้าบ่อยนะ เวลาต้องการแรงบันดาลใจ”]



พลิกรูปของน้ำตาลให้หันเข้าชั้นหนังสือไปเสีย
สุดคะเนปาดน้ำตาที่ซึมนิดๆ บอกกับตัวเองว่า
ความเศร้าที่รุกเข้ามาในใจขณะนี้ แค่ความรู้สึกลวงๆ เท่านั้นเอง

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูเบาๆ

“เปิดมาเลยค่ะ พี่ไม่ได้ล็อก”

เด็กกระต่ายในชุดนอนลายการ์ตูน ถือหมอนมาด้วยใบหนึ่ง
สุดคะเนงง

“พี่คะเนยังไม่อาบน้ำอีกหรือคะ” เด็กกระต่ายถาม
“วันนี้สงสัยเค็นจะไม่กลับล่ะ กระต่ายอยู่กับพี่คะเนถึงดึกได้มั้ยคะ”

“เหรอ....” สุดคะเนพยายามคิดให้เร็ว
แต่สมองทำงานช้ากว่าทุกที “ได้สิ งั้นพี่อาบน้ำก่อนนะ”

กลับออกมาอีกครั้ง เห็นเด็กผมเปียกำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนหัวนอน
“หนังสือเล่มนี้ดีนะคะ...แพลทเทอโร แอนด์ ไอ เค้าเขียนถึงลาน่ารักจังค่ะ”

เหมือนภาพซ้อน...ผู้หญิงตาสวย ผมยาวเหมือนเส้นไหม
นั่งตรงนั้น ในมือมีหนังสือเล่มเดียวกัน กลิ่นมะลิเคลือบคลุมจางๆ

[“ไม่ทำงานหรือคะ”

“คะ?”

“ก็...คะเนต้องเขียนหนังสือไม่ใช่หรือ ไหนว่าพรุ่งนี้ต้องส่งต้นฉบับแต่เช้า
พี่ไม่กวนนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ… อุ้ย!”

“ใครจะบ้าทำอย่างอื่น มีพี่ดาวอยู่ด้วยแบบนี้”]


“พี่คะเนคะ...”

“คะ?”

เด็กกระต่ายหน้ามุ่ย

“พี่คะเนเป็นอะไร กระต่ายพูดด้วยตั้งหลายที ใจลอยไปไหนไม่รู้
ถ้าไม่ไปอาบน้ำ กระต่ายจะกลับห้องแล้วนะ”

“อ้าว! อะไรกัน” สุดคะเนรีบหันเข้าหาตู้เสื้อผ้า
“โอเคๆ งั้นถ้าพี่ออกมา เตรียมตัวเลยนะ ถ้าเล่าไม่หมด พี่จะทำโทษ...”

“ทำอะไรคะ” กระต่ายหน้าเจื่อน เหมือนกลัวขึ้นมาจริงๆ

สุดคะเนค่อยอารมณ์แจ่มใสขึ้น
“เดี๋ยวก็รู้”



พระจันทร์เสี้ยวยังเป็นรูปกลีบส้ม
แต่เหมือนถูกแทะไปแล้วหน่อยนึง
สุดคะเนนอนเหยียดบนเตียง หลับตา
ฟังเรื่องราวมากมายจากเด็กที่ตั้งใจเล่าจริงจัง

พ่อทำร้ายแม่ แม่มีสามีใหม่ พ่อตาย
กระต่ายเกลียดแม่ หนีออกมาอยู่หอกับพี่ชายสองคน
ทั้งชีวิตที่ผ่านมา...กระต่ายไม่เคยมีใคร

“ก็มีเค็นไง” สุดคะเนพูดโดยไม่ลืมตา
“และจริงๆ แล้ว พี่คิดว่า แม่กระต่ายก็คงเสียใจ...”

กระต่ายพูดว่า
“ค่ะ กระต่ายรู้...แต่ทำใจไม่ได้...กระต่ายเหงาเหลือเกิน”

ความเย็นหยดหนึ่งตกเฉียดข้างแก้ม ลืมตาขึ้น
เห็นเด็กผมเปียอยู่ห่างนิดเดียว ก้มหน้าแต่น้ำตาพรู
คงพยายามเช็ดน้ำตาจนกระเซ็นมาต่างหาก

“กระต่าย...” สุดคะเนชันตัวขึ้น ดึงข้อมือที่ถูตาตัวเองแรงๆ
“ไม่เป็นไรนะ...วันนี้กระต่ายมีพี่อีกคนหนึ่ง”

กระต่ายหัวใจเต้นรัว
ในห้องของพี่สุดคะเนคืนนี้เปิดไฟไว้ดวงเดียว
ห้องอื่นๆ ยังไม่มีใครกลับ หมอนใบโปรดที่หยิบด้วยมาวางข้างๆ
แปลกจัง...ทั้งที่เศร้าใจอยู่แท้ๆ
อะไรบางอย่างที่เคยไหลเวียนในตัวเมื่อโดนสัมผัสจากพี่คะเน
...ก็ตื่นขึ้นอีก

“มานอนนี่มา”
สุดคะเนตบมือเรียกเหมือนพูดกับน้องเล็กๆ
แต่กระต่ายใจเต้นแรงกว่าเดิม

...หยุดเดี๋ยวนี้นะ...หนูน้อยพูดกับตัวเอง
พี่สุดคะเนเค้าแค่ห่วง...ไม่มีอะไรอื่น

“ทำไมช่วงนี้ทำตัวแปลกๆ” สุดคะเนพลิกตัว
เมื่อดึงกระต่ายมานอนข้างๆ สำเร็จ
ตาดำจ้องดูเด็กผมเปียที่น้ำตายังเปื้อนแก้ม

“อย่าคิดมากเลยนะ ผู้ใหญ่มีเหตุผล เหมือนเราก็มีเหตุผล”

“.............................”

“ไม่มีใครอยากให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น
สิ่งสำคัญ...คือการดูแลหัวใจเราเอง อย่าให้มันเว้าแหว่ง...ไปมากกว่านี้”

กระต่ายแทบหยุดหายใจ
เมื่อตาดำสนิทมองในระยะประชิด มืออุ่นยื่นมาเช็ดน้ำตาให้

“ถึงไม่มีใครรักเรา ก็ต้องรักตัวเอง รู้มั้ย”

กระต่ายใจเต้นตึกๆ จนกลัวพี่สุดคะเนจะได้ยิน
ตัวแข็งทื่อ สุดคะเนยิ่งแปลกใจมากขึ้น
ลุกชะโงกในท่ากึ่งนอน พยายามดูหน้าเด็กเคยเก่ง

“พะ...พี่คะเนนอนเถอะค่ะ” กระต่ายเสียงสั่น
“ขอบคุณนะคะ อุตส่าห์ฟังตั้งนาน”

“ง่วงแล้วหรือ?” สุดคะเนยิ้มเจ้าเล่ห์
“ปกติเห็นนอนดึกตอนดื่น เอ หรือจะให้ไปนอนคนเดียวดี”

“เอ้อ...ก็ได้ค่ะ” กระต่ายลุกพรวดพราดขึ้น สุดคะเนรีบตะครุบตัวไว้
“จะไปไหน” ใบหน้าที่ชาเฉยเป็นนิจมีรอยยิ้ม
“นึกจะมาก็มา จะไปก็ไป...ไม่ต้องไปหรอก พี่ไม่ปล้ำหรอกน่า”

กระต่ายสะดุ้งสุดตัว
“เอ้อ...กระต่ายไม่ได้คิด...”

พี่น่ะไม่คิด...แต่กระต่ายต่างหากที่...ไม่กล้าคิดจนจบ
กระต่ายหน้าแดงแช้ด ยังดีที่อยู่ในแสงสลัว

“จริงน่ะ”

พี่สุดคะเนเป็นอะไรไป มานึกเล่นอะไรกันตอนนี้

“อืม...ดูๆ ไป กระต่ายก็น่ากินดีนะ เนื้อเด็กๆ คงหวานน่าดู”

กระต่ายเกือบร้องเมื่อพี่คะเนทำท่าเหมือนแมวขย้ำหนู
รีบพลิกหลบ สุดคะเนนึกสนุก แกล้งไล่งับ ปากพลาดโดนใบหูที่ร้อนจัด

“โอย...” กระต่ายหงายหลัง ลงไปนอนเหมือนเดิม

ใบหน้าสุดคะเนอยู่ห่างจากเด็กผมเปียแค่คืบ
ใกล้จนได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่าย
มือของกระต่ายเต็มไปด้วยเหงื่อ
ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้กดเข้าหากันอย่างตื่นเต้น

สุดคะเนนึกอะไรได้ ลุกขึ้นนั่งข้างเตียง
เสยผมที่ยุ่งเหยิง พูดเสียงเรียบผิดไป


“...คิดอีกที พี่ว่ากระต่ายกลับไปนอนห้องตัวเองเถอะ”

ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1377 วันที่ 05 มกราคม พ.ศ. 2550

No comments: