04 January 2007

10 ใจคน

คืนนี้ฟ้ามืดกว่าทุกคืน
กระต่ายลุกไปเกาะขอบหน้าต่าง
มองข้างนอก มีดวงจันทร์หม่นๆ ทอแสงเรื่ออยู่ไกลๆ

พ่อเคยบอกว่า “ในดวงจันทร์มีกระต่าย มีตากับยายตำข้าว”

แต่แม่บอกว่า ไม่เคยเห็น มองแทบตายก็ไม่เห็น

พ่อพูดเสียงหนักๆ เพราะแม่ไม่เคยเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอก
เอาแต่คิดเรื่องทำมาหากิน

แม่บอกว่า ถ้าไม่ทำมาหากินแล้วใครจะหา
ไม่เหมือนพ่อพวงมาลัย วันๆ คอยแต่เสี่ยงหาเมียใหม่
สวยๆ รวยๆ คงได้อยู่หรอก รอกระต่ายเปลี่ยนเป็นควายตำข้าวแล้วกัน

พ่อเริ่มโกรธ พูดว่า ไม่เคยดูตัวเองเลย เอาแต่โทษคนอื่น
ไม่เคยดูว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน พ่อผิดเองที่หลงผิดแต่แรก

แม่พูดว่า ใช่สิ หลงผิดมาเอาเมียมอญ ทั้งๆ ที่อยากมีเมียไทยใจแทบขาด
เสียใจด้วยนะ ทำยังไงทางบ้านก็ไม่ยอมรับ

พ่อตอบว่า บ้านฉันมันก็งี่เง่า หลับหูหลับตาจะให้แต่งกับลูกคนข้างบ้าน
หน้าตายังกะเต้าหู้ ดีอย่างเดียวคือขายของเก่ง
ถ้ายอมไปอีกหน่อยคงได้เป็นเจ้าของคอกหมู อ้วนวันอ้วนคืน

แม่โกรธ บอกว่าพูดถึงผู้หญิงให้มันดีๆ หน่อย จะจีน ไทย มอญ ก็คนเหมือนกัน

พ่อหน้าแดงก่ำ บอกว่า เพราะงั้นไง ฉันถึงหนีเมียเจ๊กมาได้เมียมอญ
หลงในชาติพันธุ์ตัวเอง บ้านเมืองอยู่ไหนไม่เคยเห็น มีจริงหรือเปล่าไม่รู้
ถือประเพณีบ้าๆ บอๆ ฉันเป็นคนไทยแท้ๆ ยังทำตัวธรรมดา

แม่พ่นเสียงออกทางจมูก เตี่ยจีน แม่ไทย
มีเลือดอย่างละครึ่ง ไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เสียที่ไหน

พ่อบอก แม่ฉันเป็นผู้ดีไทย ฉันก็โตมาอย่างคนไทย ไม่ใช่เจ๊กต่ำๆ

แม่บอก อ๋อ ใช่ซี ส่วนฉันก็เป็นมอญต่ำๆ หลงผิดไปเอาผัวผู้ดี
วันๆ คิดแต่จะออกงานกับเข้าบ่อน
เงินทองหามาได้ก็เอาไปประเคนนักร้องคาเฟ่ ลูกเต้าอยู่กินยังไงไม่เคยดูแล

พ่อถลาเข้าหาแม่ พูดดีนักนะมึง นึกว่าจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ได้ผัวอย่างกูแทนที่จะดีใจเป็นพระคุณกลับมาขึ้นเสียงเถียงคำไม่ตกฟาก
ถ้าตอนนั้นหน้าขึ้นฝ้าเป็นผีอย่างนี้ แถมเงินกูยังไม่เอา

แม่หวีดร้อง คว้ามีดปอกมะพร้าว มึงทำกู กูก็ทำมึง
ทุกวันนี้ที่อยู่เพื่อเค็นกับกระต่ายเท่านั้น

พ่อหัวเราะลั่น อย่าเอาลูกมาอ้าง มึงรักกู กูรู้

แม่ร้องไห้ งั้นมึงก็ไปเลยสิ ไป จะไปไหนก็ไป ลูกสองคนฉันเลี้ยงเอง

พ่อหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม กูไปแน่ ให้ได้เมียใหม่ดีกว่ามึงก่อน
แล้วมึงรู้มั้ย ลูกมันรักใคร ลองถามมันซิ
แม่ร้องไห้ พูดไม่ออก


[“....กระต่าย...” เสียงเค็นเคยถาม
“ทำไมกระต่ายไม่รักแม่ ทั้งๆ ที่แม่ลำบากเพราะเรา พ่อเสียอีกที่...”


“ไม่ต้องพูด เค็น! ถึงยังไง ท้ายที่สุด แม่ก็เป็นคนทำให้พ่อตาย”

“กระต่าย...แม่ไม่ได้ตั้งใจนะ พ่อต่างหากที่เมาแล้วตกน้ำไปเอง”

“ไม่ใช่!” กระต่ายน้ำตานองหน้า
“พ่อเสียใจต่างหากที่แม่พาแฟนใหม่มานอนถึงในบ้าน!”

“กระต่าย ก็คนอยู่กันไม่มีความสุข จะให้เขาทนไปทำไม”

“แต่พ่อดีกับกระต่าย ถึงยังไงพ่อก็เล่านิทานให้กระต่ายฟังบ่อยๆ
เป็นเพื่อนเล่นสารพัด แม่เสียอีก วันๆ ทำแต่งาน หาแต่เงิน
วุ่นวายกับสังคมชาวมอญ สมแล้วที่พ่อทนไม่ไหว”

“กระต่าย!” เค็นมีสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง
“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย โตกว่านี้ กระต่ายถึงจะเข้าใจ”

“ตอนนี้ก็เข้าใจ! เอายังงี้ดีกว่า ถ้าเค็นไม่พอใจ กระต่ายจะออกไปอยู่หอเอง”

“ไม่ได้!” เค็นทำเสียงจริงจัง
“ฉันปล่อยเธอไปอยู่คนเดียวไม่ได้ อยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ด้วย”

“เค็นยุ่งกับกระต่ายทำไม รักแม่ ห่วงแม่ ก็อยู่กับแม่ไปสิ”

“เพราะแม่รักกระต่าย ห่วงกระต่ายไงล่ะ!” เค็นเสียงลั่น
“ขืนปล่อยให้เป็นอะไรไป คนทุกข์ใจก็คือแม่
ฉันไม่อยากยุ่งกับเด็กประสาทอย่างเธอหรอกนะ ยายกระต่าย
แต่ฉันต้องดูแลเธอให้ดีที่สุด เพราะแม่รักเธอมากที่สุดไงล่ะ!”]


เมฆหม่นเลื่อนมาบังดวงจันทร์ไปแล้ว
กระต่ายน้ำตาไหลอาบแก้ม คิดถึงคนที่อยู่ห้องข้างๆ จัง
พี่คะเนคงไม่เคยเจอเรื่องราวอย่างกระต่ายหรอกใช่ไหม
พี่คะเนเป็นคนเข้มแข็ง ถึงจะมีบุคลิกเงียบขรึม
แต่ก็เหมือนหินผาไม่หวั่นไหวกับสิ่งใด

กระต่ายอยากเป็นแบบพี่สุดคะเน
อยากเป็นก้อนหินที่แข็งแกร่งทั้งภายนอกภายใน
ถ้ากระต่ายเป็นไม่ได้ พี่คะเนก็คงแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นให้กระต่ายได้บ้าง
ความคิดของกระต่ายสับสนวนเวียน
บางทีก็ลืมไปเหมือนกันว่า ภาพภายนอกนั้น ตัวเองต่างหากร่าเริงสดใส
และงานเขียนของสุดคะเนที่หม่นเศร้า ลึกลับ
ในใจของเด็กน้อยจึงคอยแต่คิดว่า อยากได้ อยากเป็น


อยากเป็นอย่างคนที่มองเห็นด้วยตา


ในห้องติดกัน
สุดคะเนเองมองดูดวงจันทร์ที่หายเข้าในฝ้าเมฆด้วยดวงตาเศร้าลึก


จดหมายสองฉบับอิงแอบบนโต๊ะเขียนหนังสือ
ฉบับที่มีลายมือเรียบสวย สม่ำเสมอ ทุกตัวอักษรยังเปล่งประกายอยู่ในใจ

[ณ...แก่งคอย


คะเนคะ
1. หากคะเนคิดว่า...ความคิดถึงที่ดาวมีต่อคะเนนั้น
เป็นเพียงการเสแสร้งมารยาละก้อ...ดาวก็จะไม่โกรธนะ ไม่ต่อว่า ไม่ฟูมฟาย
หรือร้องขอ ให้คนไกลยอมรับความรู้สึกนั้น
ไม่มีใครต่อว่านะ ว่าคะเนเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าจะคิดให้ดี ดาวต่างหากที่เห็นแก่ตัว
‘คนเห็นแก่ตัว’ ชัดไหมคนดี...กับคำๆ นี้
ควรที่จะมาเรียกคนอย่างดาวดีกว่า...ไม่ใช่คะเน
ดาวมีความผูกพันกับคะเนมากมายเต็มความรู้สึก
ความเข้าใจ...ที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย
ความคิดถึง...ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครบังคับ
ห่วงใยและอาทร ยามห่างหากซึ่งกันและกัน
ดาวเจ็บร้าว...เพียงคิดว่าจะเป็นผู้ที่ถูกเลือนไปจากความรู้สึก
มากมายเพียงนี้... คะเนยังต้องการอะไรอีกหรือ
ต่อการที่จะพิสูจน์ความจริงใจที่ดาวมีให้
ไม่นะ...ไม่อยากพูดคำว่ารัก
จะไม่สร้างพันธะที่จะห้อมล้อมอิสรภาพระหว่างกันและดาวเองก็คิดว่า
ความรู้สึกภายในที่มีมากมาย...เกินกว่าคำสารภาพแห่งรัก

2. เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไปนั่งเล่นที่น้ำตกมา
เชื่อเปล่าว่าไปคนเดียวนะคะ มันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย
ซักผ้าเสร็จ กะว่าจะไปนั่งรถเล่น ก็เลย-เลยไปน้ำตกซะเลย

สนุกจังเลย เพราะไปพบเพื่อนใหม่ 4 คน ชาย 2 หญิง 2
อยู่ในระหว่าง 7 – 11 ขวบ เค้ามากันเป็น Teem
เด็กชาย 2 คนหาจับตัว “ปลอม”
เค้าบอกเรียกปลอม(ปอม)อะไรเนี่ย...แต่ดาวว่ามันชื่อกิ้งก่า

...ดาวเลี้ยงขนมพวกเค้า ดูเด็กๆ ชอบใจ ทำให้ดาวสบายใจขึ้นมาก
โชคดีอีกอย่างคือ ดาวไปเจอพระ 1 องค์ เป็น “พระรอด”
จมอยู่ในน้ำใต้ต้นไม้ (คะเนเอารูปที่เคยให้ขึ้นมาดูสิคะ ต้นไม้ต้นนั้น
และก็นั่งตรงนั้นเช่นกัน) ก็เลยนำพระกลับบ้านมาด้วย

ดาวออกจากน้ำตกประมาณบ่าย 2 โมง
เด็กๆ เดินมาส่งที่ท่ารถ กลับมาถึงบ้านประมาณบ่าย 3 โมง
กลับมาถึงก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง
แฟนดาวเค้าเข้ามาถาม “เป็นอะไรเหรอ ถึงไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นอย่างไรมั่ง”

“เปล่า” ดาวตอบ นึกขึ้นได้ว่า ก่อนออกจากบ้าน บอกแม่ไว้ว่าไม่ค่อยสบาย
จะไปหาหมอสักหน่อย (เค้ายังไม่ตื่นน่ะ)
เค้าต่อว่าไม่สบายก็ไม่บอกเค้า วันนั้นเค้าทำงานบ้านแทนดาวหมดเลยละ

ซักถุงเท้า รีดผ้า ถูบ้านด้วย เค้าบอกไม่สบายเลยทำแทนให้ (วันเดียวนะ)

3. แต่คะเนคะ...หัวใจคนเราไม่ใช่หิน...ไม่ใช่เหล็กไหล
ที่ผูกพันกับใคร จะมิให้อ่อนไหวกระนั้นหรือ?

คะเนคะ ถึงแม้ดาวจะไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกแท้จริงที่คะเนมีต่อดาว
แต่ดาวก็อยากจะเรียกความรู้สึกเหล่านั้นว่าความรัก...ได้ไหมคะ
มันอาจจะเป็นความเข้าใจผิด แต่ดาวก็ยังอยากเข้าใจเช่นนั้น

คะเนคะ...ดาวรู้สึกน้อยใจมากมายเลย
ไม่รู้ซิว่าทำไม ต้องรู้สึกเช่นนั้น
จนแล้วจนรอด คะเนก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่ดาวมี...
ไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะบอก

ไม่ใช่ในรูปของคำว่า ‘รัก’ ความรู้สึกมันมากมายกว่านั้น...

ไม่รู้นะ ดาวรู้สึกเจ็บร้าว กับมิตรภาพระหว่างเราซึ่งกำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
เจ็บช้ำ กับการก้าวต่อไปข้างหน้าแม้เพียงก้าวเดียว...
แต่ครั้นจะถอยหลังกลับไป ไม่แคร์ต่ออะไรทั้งหมด มันก็ทรมานไม่แพ้กัน

ทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
ไม่รู้ซิ...ดาวคนอ่อนไหวอะไรอย่างนี้
คะเนอาจไม่รู้...ไม่เข้าใจ เพราะในชีวิตคะเนมีใครต่อใครมากมาย
แต่สำหรับดาว มันเพิ่งจะเริ่มเป็น เริ่มประสบ...ดาวแยกมันไม่ออก
ระหว่างความรู้สึกกับความเป็นจริง

ดาวมิได้เฝ้าเรียกร้องถึงสิทธิอะไรทั้งนั้น
คะเนจะมีใคร...อยู่กับใคร...ที่ไหน
ดาวไม่สนหรอก ขอเพียงบางส่วนความรู้สึกที่คะเนมี
แบ่งปันมาให้ดาวบ้าง...แล้วสักวัน คะเนจะแรมไกลไปนิรันดร์ มันคืออนาคต
แต่สำหรับวันนี้ ขอมีดาวในความคิดถึงของคะเนก่อน...ให้ได้หรือเปล่าคะ คนดี]


สุดคะเนรู้สึกเหนื่อย กับการอ่านจดหมายพี่ดาว
ข้อความซ้ำซ้อนและขัดแย้งไปมา พี่ดาวพูดถึงความรักเสมอ
เช่นเดียวกับที่พูดถึงความคิดถึง ความเจ็บปวด วิถีที่ต้องเป็นไป

มันยากมากใช่ไหม ที่จะมีชีวิตเรียบง่าย ความรักเรียบง่าย
หรือตัดสิ่งต่างๆ จากหัวใจโดยง่าย คนเรามองเห็นกันด้วยตา
มิอาจล่วงลึกถึงใจ ในจิตใจคนยังซ้อนซ่อนแง่มุม
มิรู้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความจริงกว่า

พี่ดาวเอง ยามเล่าถึง ‘เค้า’ ก็มีแต่เรื่องดีๆ แต่ไยเป็นเธอที่บอกมาว่า
‘คะเนจะมีใคร...อยู่กับใคร...ที่ไหน ดาวไม่สนหรอก
ขอเพียงบางส่วนความรู้สึกที่คะเนมี แบ่งปันมาให้ดาวบ้าง’

ใครกันแน่ ที่ควรจะพูดอย่างนั้น
...สุดคะเนเดินกลับมานั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
สอดกระดาษเข้าใต้แป้นหมุนของพิมพ์ดีด



ถึง...พระจันทร์



ตีพิมพ์ครั้งแรก
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1375 วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2549

No comments: